welcome to atisayo blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของอติสโย บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา และสรางสรรคสังคมไทย

อติสโยเขียน





คำนำ
                            ขอให้ทุกท่านผู้เจริญด้วยธรรมและปัญญาได้อ่านแล้วพิจารณาตามด้วยเหตุผลของความเป็นจริง การเขียนของผมมิได้มีอคติ  แต่มีหลักของความถูกต้องตามความรู้ที่ได้ศึกษามาแล้วมองเห็นการกระทำที่บุคคลได้ปฏิบัติแม้แต่เป็นความรู้เบื้องต้นของธรรมมะของพระพุทธองค์แต่ถ้าสามารถปฏิบัติตามก็จะเป็นผลกับผู้ปฎิบัติ   บ้างครั้งเรามองเห็นการกระทำอันขัดกับหลักธรรมที่ควรเป็นจริง  จากสาวกของพุทธองค์แต่เรามองข้ามไปแล้วเราจะได้ชื้อว่าเป็นพุทธบริษัทหรือ   เมื่อเห็นแล้วไม่ขัดแย้งก็ได้ชื้อว่าไม่ช่วยกันดูแลพระพุทธศาสนาเป็นแน่แท้เรามาช่วยกันดูแลพระพุทธศาสนากันดีไหม   มาลองอ่านแลพิจารณาตาม
                                                                                                                                                               อติสโย  วพบ


















มองให้ทันพระ
                                           ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เราคนไทยส่วนมากนับถือมาแต่โบราณกาล   แต่ทุกวันนี้ความเลื่อมโทรมทางศาสนาของคนไทยมีมากขึ้นเป็นไปตามยุคแห่งเทคโนโลยี่  ความหย่อนยานเพราะมั่วแต่ทำงานเลียงชีพขาดการศึกษาทางศาสนาอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้เกิดความงมงายหรือหลงผิดในทางศาสนาเป็นอันมากประกอบกับพระผู้สอนไม่สอนตามหลักธรรมอันเป็นจริงก็เลยทำให้เกิดการเสือมทรามเป็นรอยด่างทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง    พระพุทธองค์นั้นวางรากฐานทางพระพุทธศาสนาคือพระธรรมและวินัยเป็นที่มั่นคงดุจดังเสาเข็มที่ยังสึกลงไปในดินของการก่อสร้างอาคารในยุคปัจจุบันเปรียบดังวิศวกรที่เขียนแบบไว้แล้ว  ให้พุทธบริษัทของพระพุทธองค์ดำเนินงานต่อตามแบบของพระองค์ที่ทรงวางไว้      พระในปัจจุบันเปรียบเหมือนช่างก่อสร้าง    ส่วนพุทธสานิกชนเป็นนายทุนในการก่อสร้าง     พระพุทธศาสนาให้คงอยู่    พระพุทธองค์ออกแบบอย่างสวยงามประดุจดังเจดีคือมียอดเดียวคือพระนิพพาน  แต่กาลต่อมานายช่างคือพระได้ดัดแปลงแบบที่พระพุทธองค์ออกแบบไว้เสียใหม่ให้เริ่มมีหลายยอดแต่รากฐานยังคงเดิมคืออยู่บนธรรมแลวินัยของพระพุทธองค์   ทำให้เกิดนิกายต่างมากมายในหลายประเทศ นิกาย แปลว่า หมวด, หมู่, พวก
นิกาย นิยมใช้ใน 2 ความหมาย คือความหมายหนึ่งเป็นชื่อเรียกคัมภีร์พระสุตตันตปิฎกที่แยกออกเป็น 5 หมวด คือ ฑีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย
อีกความหมายหนึ่ง เป็นชื่อเรียกคณะนักบวชในศาสนาเดียวกัน แต่แยกไปเป็นพวกๆ ตามความเห็นที่ไม่ตรงกันซึ่งมีในทุกศาสนา ในพุทธศาสนาก็อย่างมหานิกาย กับธรรมยุตินิกาย ทักษิณนิกาย กับ อุตรนิกาย
คณะสงฆ์เถรวาทในแต่ละประเทศ ได้แบ่งย่อยออกเป็นหลายนิกาย โดยยังคงยึดถือพระธรรมวินัยเดียวกัน
·         สังฆราชนิกาย (Sangharaj Nikaya)
·         มหาสถพีรนิกาย (Mahasthabir Nikaya)
·         ประเทศพม่า :
·         สุธัมมนิกาย (Thudhamma Nikaya)
·         ชเวจินนิกาย (Shwekyin Nikaya)
·         ทวารนิกาย (Dvara Nikaya)
·         สยามนิกาย (Siam Nikaya)
·         มัลวัตตะ (Malwaththa)
·         อัสคิริยะ (Asgiriya)
·         วาทุลวิลา (Waturawila) หรือ มหาวิหารวามสีกาสยาโมวนาวาสนิกาย (Mahavihara Vamshika Shyamopali Vanavasa Nikaya)
·         อมรปุรนิกาย (Amarapura Nikaya)
·         ธรรมรักษิต (Dharmarakshitha)
·         คันดุโบดา (Kanduboda) หรือนิกายชเวจิน (Swejin Nikaya)
·         ตโปวนะ (Tapovana) หรือกัลยาณวงศ์ (Kalyanavamsa)
·         รามัญนิกาย
·         กัลดุวา (Galduwa) หรือกัลยาณโยคศรามายะ สัมสตายะ(Kalyana Yogashramaya Samsthava)
·         เดวดูวา (Delduwa)
·         มหานิกาย (Maha Nikaya)
·         ธรรมยุติกนิกาย (Dharmmayuttika Nikaya)
ในปัจจุบันที่เลย กึ่งพุทธกาลมาแล้วนี้นั้น ชนชาวพุทธโดยกฏหมายบางท่าน อาจจะสับสนหรือแยกแยะไม่ออกกันแล้วว่า ไหนคือแนวทางแห่งพุทธ แนวทางแห่งพราหมณ์ ซ้ำเลยหนักไปถึงไม่ทราบว่า พุทธที่เป็นพุทธแบบแท้จริง แบบดั่งเดิมสมัยพุทธองค์นั้นเป็นอย่างไร แล้วนิกายต่างๆ สมัยนี้แตกต่างกันเช่นไร ทำเอาผสมปนเปกันไปหมด วัดเดียวมีครบทุกแบบ เพียงเพราะต้องการดึงชาวบ้านทางโลกให้เข้ามาอุดหนุน
แต่เดิมสมัยพุทธกาล พระสงฆ์ล้วนปฏิบัติตามพระวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด หากมีกรณีพิพาทอันใด ก็จะทูลขอคำวินิจฉัยจากพระพุทธองค์ แต่กาลต่อมาหลังปรินิพพาน รูปแบบวิถีปฏิบัติพระธรรมวินัยเดิม ย่อมแปรไปตามแต่ละพระอาจารย์ว่าจะมีความเคร่งครัดเพียงใด ก็สั่งสอนเรื่อยมาตามความเชื่อถือ การตีความพุทธพจน์ที่มีมานั้น หรือความรู้ธรรมที่แตกต่างกัน ที่เรียกว่า ทิฏฐิสามัญตา
ภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงได้ 3 เดือน มีการจัดสังคายนาขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีพระมหากัสสปะเป็นองค์ประธาน พร้อมพระอรหันต์อื่นอีก ๕00 รูป ได้ตกลงเป็นฉันทามติ ให้พระสงฆ์รักษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามสิกขาบททุกข้อไว้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง โดยไม่มีการเพิ่มถอนใดๆ นอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ทั้งสิ้น
การสังคายนาครั้งที่ ๒ ราวพุทธศตวรรษ ๑๐๐ เริ่มมีคณะสงฆ์บางกลุ่มที่ไม่ยอมรับมติของพระมหาเถระครั้งปฐมสังคายนาก็ดี หรือมีความเห็นทางธรรมแตกต่างจากคณะสงฆ์ดั้งเดิมก็ดี จึงเริ่มแตกออกมาเป็นนิกายต่างๆ เรื่อยมานับแต่นั้น ตามคติแห่งยุคสมัย
นิกายใหญ่ มี ๓ นิกาย ได้แก่
. นิกายเถรวาท หรือ สาวกยาน หรือ หินยาน
. นิกายอาจาริยวาท หรือ มหายาน
. นิกายวัชรยาน
. นิกายเถรวาท
หลังการเกิดแตกสาขานิกายไปจากสายดั้งเดิมครั้งพุทธกาล พระสงฆ์ที่ยึดถือแนวทางเดิมนี้โดยบริบูรณ์ จึงถูกเรียกว่าปฏิบัติตามแนวของเถรวาท หรือนิกายใน วงศ์แห่งพระเถระ
นิกายเถรวาท ได้รับการยอมรับจากพุทธศาสนิกชนทุกนิกายว่าเป็นนิกายที่รักษาพระธรรมวินัย ไว้อย่างเคร่งครัด สมบูรณ์ที่สุด จัดเป็นพระพุทธศาสนาแนวหลักแท้จริงดั้งเดิมตามพุทธกาล  ที่นิกายอื่นแยกออกไป
สาระสำคัญของนิกายเถรวาท นอกเหนือจากการปฏิบัติตามธรรมวินัยเดิมแล้ว ยังยึดถือตามคัมภีร์พระไตรปิฏกบาลี มุ่งสู่พระนิพพานการเป็นพระอรหันต์ เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ (วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด)
ประเทศที่นับถือได้แก่ ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา สำหรับประเทศไทยนั้น ยังแบ่งได้อีก 2 นิกายย่อย คือ
- มหานิกาย คือคณะสงฆ์องค์คณะใหญ่ของเถรวาทดั้งเดิม
- ธรรมยุติกนิกาย คือคณะสงฆ์ไทยสายธรรมยุติ ถือกำเนิดขึ้นปี พ.ศ.2365 ล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้ตั้งขึ้น โดยพัฒนาแนวทางวิธีการปฏิบัติธรรมตามแบบคณะสงฆ์สายธรรมกัลยาณีของประเทศพม่า
. นิกายมหายาน
มหายาน มีความหมายว่า ยานพาหนะขนาดใหญ่ที่นำพาสรรพสัตว์ข้ามพ้นห้วงน้ำแห่งการเวียนว่ายตายเกิด. นิกายมหายาน มีสาระสำคัญต่างจากสายดั้งเดิมที่ ยึดถือทำตามแนวทางพระโพธิสัตว์ ที่ปรารถนามุ่งสู่การเป็นพระพุทธเจ้า ที่เชื่อว่าสามารถช่วยเหลือสัตว์โลกได้มากกว่านิกายเถรวาทหรือหินยาน ซึ่งมีความหมายว่า ยานพาหนะขนาดเล็ก ที่มุ่งให้บรรลุธรรมเพื่อการเป็นพระอรหันต์
มหายาน จึงเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ทั้งที่มีปรากฏนามในพระคัมภีร์เถรวาท  และที่สร้างขึ้นตามคติของตนในภายหลัง นอกจากนี้ยังมีพระโพธิสัตว์ พระอัครสาวกอีกมากมายเช่นกัน
พระสงฆ์ในสายมหายาน เป็นรูปแบบคณะสงฆ์ ที่ได้ปรับตามกาลเวลาและลักษณะของแต่ละประเทศ  เพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น นอกเหนือจากประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้ว หากเห็นว่าพระวินัยข้อใดไม่เหมาะแล้วกับกาลก็เพิกถอนได้ เราจึงเห็น พระมีวิทยายุทธ พระมีบทบาททางการเมือง ฯลฯ ในประเทศมหายาน
ประเทศที่นับถือได้แก่ จีน เวียดนาม ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น สำหรับในประเทศไทย เมื่อมีชาวจีน และญวนเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กันมากเรื่อยมาแต่ครั้งอดีต จึงมีนิกายมหายานในประเทศไทย แยกได้อีก 2 นิกายย่อย คือ
- จีนนิกาย คือคณะสงฆ์มหานิกายแบบจีน
- อานัมนิกาย คือคณะสงฆ์มหานิกายแบบเวียดนาม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าพระสงฆ์เถรวาทจะไม่ช่วยเหลือประชาชนดีเท่ากับพระสงฆ์มหายาน เพียงแต่ พระสงฆ์มหายาน ปรับรูปแบบขึ้นมาให้เข้าใกล้ญาติโยมมากขึ้น พระวินัยบางข้อที่ไม่เหมาะกับการที่ท่านจะประพฤติ ในการดำรงอยู่ในบางประเทศ ท่านก็เพิกสอนเสีย ดังนั้นพระสงฆ์เถรวาทจึงมีข้อดีมากในส่วนที่ท่านรักษาพระธรรมวินัยตามครั้ง พุทธกาลไว้อย่างบริบูรณ์ที่สุด รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ให้ผิดเพี้ยน ขาดตกไปตามกาลเวลา ให้เป็นแบบบรรทัดฐานการศึกษาแก่นแท้พุทธศาสนาเดิมได้ มาถึงในปัจจุบัน
ในส่วนนิกายวัชรยาน อันเป็นสายทางธิเบตนั้น มีลักษณะที่โซนบ้านเราไม่ค่อยจะคุ้นเคยในรูปแบบมากนัก ทั้งมีแนวคิดที่ต่างไปหลายเรื่อง

ในยุคปัจจุบันนั้นพระของไทยเราได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางศาสนาพุทธเป็นศูนษ์กลางของศาสนาพุทธบนโลก   เราก็ควรทำให้เป็นตัวอย่างในสิ่งที่ดีเพื่อเป็นแบบอย่างต่อไป    แต่ปัจจุบันมีแต่ข่าวในทางเสื่อมเสียมากมายกับพระของไทยสาเหตุมาจากอะไร  จะว่ามาจากสื่อที่นำเสนอก็ไม่ถูกและก็ไม่ผิด  ที่ว่าไม่ถูกก็เพราะสื่อต่างๆมีหน้าที่เสนอข่าวเป็นหลักแต่นำเสนอข่าวที่มีแต่ด้านลบไม่มีด้านบวก   ที่ว่าไม่ผิดเพราะข่าวส่วนมากที่เสนอมีหลักของความเป็นจริง  ดังนั้นพระเราควรจะปฏิวัติความคิดเสียใหม่  อย่าสอนในสิ่งงมงายอย่าหาประโยชน์จากสาธุชนชาวพุทธ  ไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม  สอนตามหลักของพระพุทธองค์ เราพุทธสานิกชนเองก็ต้องพิจารณาให้มากเป็นพิเศษ   การพิจารณาเราตามหลักความเชื่อ

หลักความเชื่อ ๑๐

หลักนี้มีที่มาใน กาลามสูตร และสูตรอื่นๆ ที่ตรัสไว้สำหรับให้ทุกคน มีความเชื่อในเหตุผลของตนเอง ในเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นว่า สิ่งที่มีผู้นำมากล่าวหรือสั่งสอนนั้น ตนควรจะเชื่อถือเพียงไรหรือไม่ มีผู้ไปทูลถามว่า เขาได้รับความลำบากใจ ในการที่สมณะพราหมณ์พวกหนึ่ง ก็สอนไปอย่างหนึ่ง สมณะพราหมณ์พวกอื่นก็สอนไปอย่างอื่น หลายพวกหลายอย่างด้วยกัน จนไม่รู้ว่า จะเชื่อใครดี ในที่สุด พระองค์
ตรัสหลักสำหรับ ทำความเชื่อแก่คนพวกนั้น มีใจความว่า
๑. มา อนุสฺสาเวน    อย่าเชื่อโดยฟังตามกันมา
๒. มา ปรมฺปราย     อย่าเชื่อโดยเหตุสักว่าตามสืบๆ กันมา
๓. มา อิติ กิราย       อย่าเชื่อโดยตื่นข่าว
๔. มา ปิฎกสัมฺปทาเนน     อย่าเชื่อโดยอ้างปิฎก
๕. มา ตกฺกเหตุ         อย่าเชื่อโดยนึกเดาเอาเอง
๖. มา นยเหตุ            อย่าเชื่อโดยคาดคะเน
๗. มา อาการปริวิตกฺเกน      อย่าเชื่อโดยการตรึกตรองตามอาการ
๘. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนกฺขนฺติยา      อย่าเชื่อโดยเห็นว่าถูกตามลัทธิของตน
๙. มา ภพฺพรูปตาย         อย่าเชื่อโดยเห็นว่า ผู้พูดควรเชื่อได้
๑๐. มา สมโฌ โน ครุ     อย่าเชื่อโดยถือว่า สมณะนี้เป็นครูของเรา
แต่ให้เชื่อ การพิจารณาของตนเอง ว่า คำสอนเหล่านั้น เมื่อประพฤติ กระทำตาม ไปแล้ว จะมีผลเกิดขึ้นอย่างไร ถ้ามีผลเกิดขึ้น เป็นการทำตนเองและผู้อื่น ให้เป็นทุกข์ เดือดร้อน ก็เป็นคำสอน ที่ไม่ควรปฏิบัติตาม ถ้าไม่เป็นไป เพื่อทำตนเอง และ ผู้อื่นให้เดือดร้อน แต่เป็นไปเพื่อ ความสุข ความเจริญ ย่อมเป็นคำสอน ที่ควรทำตาม ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการพูดถึง ราคะ โทสะ โมหะ ว่าเป็นสิ่ง ควรละหรือไม่ ผู้ฟังจะต้องพิจารณา ให้เห็นชัด ด้วยตนเองว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่นำมา ซึ่ง ความทุกข์ หรือ ความสุข ให้เห็นชัดแก่ใจ ของตนเสียก่อน เมื่อเห็นว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นของร้อน จึงละเสีย ตามคำสอน ถ้ายังพิจารณา ไม่เห็นแม้แต่เล็กน้อย ก็เป็นสิ่งที่ให้รอไว้ก่อน ยังไม่ปฏิบัติตาม จนกว่า จะได้พิจารณาเห็นแล้ว จึงปฏิบัติตาม โดยสัดส่วน ของการพิจารณาเห็น ไม่ยอมเชื่อ และปฏิบัติตาม สักว่า โดยเหตุ ๑๐ อย่าง ดังกล่าวแล้วข้างต้นหลักนี้ เป็นการแสดงถึงความที่พระพุทธศาสนา ให้ความเป็นอิสระ ในความเชื่อ อย่างถึงที่สุด พึงรู้ไว้ในฐานะ เป็นอุปกรณ์ แห่งการควบคุม ความเชื่อของตน ให้เป็นไปในทาง ที่จะปฏิบัติ ให้เป็นผลสำเร็จได้จริงๆ 
คำว่า ฟังตามกันมา หมายถึง สิ่งที่บอกเล่า ต่อๆ กันมาตาม ธรรมเนียม เป็นต้น
คำว่า 
ทำตามสืบๆ กันมา หมายถึง การทำตามสืบๆ กันมา โดยไม่ต้องคำนึง ถึง  เหตุผล แต่ถือเอาการที่ทำสืบๆ กันมานั้นเองเป็น เหตุผล ลักษณะเช่นนี้เรียก กันว่า เถรส่องบาตร
คำว่า 
ตื่นข่าว หมายถึง สิ่งน่าอัศจรรย์ ที่กำลังลือกระฉ่อน กันอยู่ในขณะนั้น
คำว่า 
อ้างปิฎก หมายถึง มีหลักฐานที่อ้างอิงในตำรับตำรา หรือแม้แต่ในพระ ไตรปิฎก
คำว่า 
นึกเดาเอาเอง คำว่า คาดคะเนเอาเอง และ คำว่า ตรึกตรองตามอาการ ทั้ง  สามนี้ คล้ายกันมาก หากแต่ว่า หนักเบากว่ากัน ตามลำดับ คำว่า เดา หมาย ถึง การใช้เหตุผลชั่วแล่น ชั่วขณะ ตามวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป คำว่า  คาดคะเน ก็มีลักษณะอย่างนั้น หากแต่ว่ามีการเทียบเคียงโดยนัยต่างๆ ที่ รัดกุมกว่า ซึ่งเป็นวิสัยของผู้มีปัญญา คำว่า ตรึกตามอาการ คือการใช้เหตุ ผล หรือใช้สิ่งแวดล้อมเป็นเหตุผลตามที่มีปรากฏ อยู่เฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ  ซึ่งรัดกุมยิ่งไปกว่า การคาดคะเน
คำว่า 
ต้องตามลัทธิของตน หมายความว่าเข้ากันได้กับ ความคิดเห็นของตน หรือ   เข้ากับลัทธิ ที่ตนถืออยู่แล้วแต่ก่อน
คำว่า 
ผู้พูดควรเชื่อได้ หมายความว่า ผู้พูดเป็นผู้ที่ใครๆ พากันเชื่อถือ เพราะเป็น  บัณฑิต นักปราชญ์เป็นคนเฒ่าคนแก่เป็นคนเคยไปในที่นั้นๆ มาแล้ว เป็นต้น
คำว่า 
ถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา หมายความถึง ครูบาอาจารย์โดยตรง
จะเห็นว่าพระพุทธองค์วางหลักความเชื่อใว้ไห้เป็นหลักใช้ปัญญาของเราพิจรณาอีกครั้ง  แล้วทรงวาง


หลักการพิจารณาธรรมและวินัยว่าเป็นของพระพุทธองค์หรือไม่ อีก    ๘ ประการ คือ
ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อความกําหนัดยอมใจ ๑.
เปนไปเพื่อความประกอบทุกข.
เปนไปเพื่อความสะสมกองกิเลส ๑.
เปนไปเพื่อความอยากใหญ.
เปนไปเพื่อความไมสันโดษยินดีดวยของมีอยูคือมีนี่แลวอยากไดนั่น ๑.
เปนไปเพื่อความคลุกคลีดวยหมูคณะ. .
เปนไปเพื่อความเกียจคราน ๑.
เปนไปเพื่อความเลี้ยงยาก ๑.


ธรรมเหลานี้พึงรูา ไมใชธรรม ไมใชวินัย ไมใชคําสั่งสอน ของพระศาสดา.
ธรรมเหลาใดเปนไปเพื่อความคลายกําหนัด ๑.
เปนไปเพื่อความปราศจากทุกข.
เปนไปเพื่อความไมสะสมกองกิเลส ๑.
เปนไปเพื่อความอยากอันนอย ๑.
เปนไปเพื่อความสันโดษยินดีดวยของมีอยู.
เปนไปเพื่อความสงัดจากหมู.
เปนไปเพื่อความเพียร ๑.
เปนไปเพื่อความเลี้ยงงาย ๑.
ธรรมเหลานี้พึงรูา เปนธรรม เปนวินัย เปนคําสั่งสอนของ พระศาสดา.
                                                                                      องฺ. อฏ. ๒๓/๒๘๘.

หลักและแนวทางที่ทรงให้พิจารณานี้เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น  แล้วเรามาพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมกันอย่างเกรินไว้เบื้องต้นว่าพระประดุจนายช่างก่อสร้าง  ที่นี้พระบางสำนักปฏิเศษคำสั่งสอนบางอย่างเป็นเพราะว่าท่านเหล่านั้นถือว่าตนนั้นเรียนมามากสามารถแปลอรรถบาลีได้ว่าสิ่งที่คณาจารย์รุ่นเก่าแปลไว้ผิดบ้าง  ถือความคิดของตนเป็นใหญ่จึงพากันประปฏิบัติตามแนวทางที่ตนคิดว่าถูกประกอบกับมีสาธุชนเลือมใสมากจึงไม่เกลงกลัวสิ่งไดอีก   ประกอบกับหน่วยงานที่รับผิดชอบทางศาสนาไม่ดูแลอย่างจริงจังก็ทำให้พระท่านได้ใจปฏิบัติติดต่อกันมานานจนยากจะแก้ไขเมือหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ดูแล   เราในฐานะชาวพุทธจึงควรดูแลกันเองสนับสนุนพระที่ท่านปฏิบัติถูกต้องตามธรรมและวินัยขจัดพระที่ปฏิบัติออกนอกทางของธรรมและวินัยไม่สนับสนุนในทางที่ผิด   อย่าเชื่องมงายกับอุบายหาปัจจัยของพระ   ทุกวันนี้เห็นพระจะต้องเลียเงินทองเพราะพระท่านบอกบุญอยู่ตลอดมีโครงการมากมายที่จะมาบอกบุญไม่ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างทั้งหลายแหล่ที่ท่านดำเนินโครงการเลียเลิศหรูแต่ไม่คำนึงประโยชน์ที่จริง   เมือพระท่านมีโครงการก่อสร้างก็ต้องหาปัจจัย  เมือต้องหาปัจจัยก็ต้องมีวิธีหาปัจจัยก็เลยเกิดกรรมวิธีในการหาไม่ว่า  ดูดวง  เสริมชะตา  รดน้ำมนต์  เจิมน้ำมัน  สะเดาเคราะห์  ตัดกรรม  เป็นกรรมวิธีหาเงินก่อสร้างเพื่อประโยชน์ของท่านเองสำหรับพระที่เป็นเจ้าอาวาสเพราะการขอสมณศักดิ์ต้องมีสิ่งก่อสร้างราคา  ๕-๑๐  ล้านการจะได้เป็นพระครูไม่ต้องมีการศึกษามากนักให้พรรษาพอมีราคาของสิ่งก่อสร้างตามกำหนดก็เป็นพระครูได้สบาย  เพราะเป็นกฎของการขอสมณศ้กดิ์จึงทำให้พระทียังมีกิเลสอยากเป็นใหญ่หาวิธีหาปัจจัยในการก่อสร้างเป็นการใหญ่  ทั้งที่จริงแล้งพระพุทธองค์ยกย่องการปฏิบัติบูชามากกว่าอามิสบูชา   ตอนบวชใหม่พระอุปัชฌาย์ก็บอกนิสัย  ๔    นิสัย ๔  เครื่องอาศัยของบรรพชิต  อยู่โคนต้นไม้ ๑ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล๑  เที่ยวบินฑบาต๑  ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า๑  พระพุทธองค์มิได้กว่าวถึงการก่อสร้างกุฏิวิหารศาลาการเปรียญแต่อย่างไดเมื่อพระพุทธองค์บวชสาวกเสร็จทรงชี้ว่านั้นโคนต้นไม้นั้นบ้านร้างนั้นถ้ำ         วัดแห่งแรกคือ  วัดเวฬุวันมหาวิหาร หรือ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน เป็นอาราม แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมี ตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล) เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จประพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"[หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์ ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้นพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน  เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา
คำว่า เวฬุวัน แปลว่าสวนไผ่ เดิมอารามแห่งนี้เป็นพระราชอุทยานของพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ตั้งอยู่นอกเมืองราชคฤห์ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้เสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารเข้าไปเฝ้า หลังจากทรงสดับธรรมแล้วทรงเลื่อมใสจึงถวายสวนเวฬุวันเป็นพุทธบูชา ด้วยทรงเห็นว่าเป็นที่สงบร่มรื่น เหมาะสำหรับอยู่บำเพ็ญธรรมของพระสงฆ์ ถือกันต่อมาว่าสถานที่นี้เป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วัดเวฬุวันมหาวิหาร นอกจากนี้วัดนี้ยังเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระสาวกจำนวน 1,250 รูป แล้วส่งไปเป็นพระธรรมทูตประกาศพระศาสนา อันเป็นที่มาของวันมาฆบูชา
วัดเวฬุวันมหาวิหาร ปัจจุบันยังคงอยู่ เป็นซากโบราณสถานในสวนไผ่ที่ร่มรื่น มีสระน้ำขนาดใหญ่ภายใน มีรั้วรอบด้าน อยู่ในความดูแลของทางราชการอินเดีย            พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานแห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา    พระพุทธองค์มิได้สร้างเองและไม่ได้บอกให้พระเจ้าพิมพิศาลสร้างแต่ด้วยความศัทธาจึงสร้างถวาย พระพุทธองค์เคยกว่าวถึงโทษของบรรณศาลา  ๘  ประการในอรรถกถาพุทธวงค์ว่า
.สร้างให้เสร็จโดยใช่เครื่องก่อสร้างมาก
.ต้องงหมันซ่อมแซมเป็นนิจ
.ทำให้เสียสมาธิจิตเพราะต้องหม้นดูแล
.ทำให้ร่างกายอ่อนแอเมือเจอสภาพอากาศหนาวร้อน
.ทำให้เกิดข้อครหาว่าผู้เข้าไปอยู่เรือนแล้วสามารถทำชั่วไดๆก็ได้
.ทำให้ยืดติดว่าเป็นเจ้าของ
.เมือมีเรือนอยู่ย่อมมีผู่อยู่ร่วม
.เป็นที่อาศัยของสัตว์เล็กน้อยเช่น เลนไร เรือดเป็นต้น

การก่อสร้างจึงไม่จำเป็นสำหรับพระที่จะต้องเดือดร้อนมาขวยขวายมาก่อสร้าง  แต่ถ้ามีผู้มีจิตศัทธามาสร้างให้ก็ไม่เป็นอะไรแต่ไม่ใช้พระเราชักนำมาสร้าง   การก่อสร้างไม่ได้ทำให้ศาสนาพุทธรุ่งเรืองถาวรพระธรรมต่างหากที่จะทำให้ศาสนารุ่งเรืองการปฏิบัติของพระให้อยู่ในธรรมและวินัยเป็นตัวทำรุ่งเรือง      ถ้าการก่อสร้างทำให้ศาสนารุ่งเรืองได้พุทธศาสนาก็คงมิสูญสิ้นจากอินเดียแดนกำเนิดพุทธศาสนาเป็นแน่แท้     เพราสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างวัดขึ้นมิใช่น้อยในรัฐวิหารประเทศอินเดีย              ที่รัฐวิหารแห่งเดียวก็มีวัดมากกว่าประเทศไทยมากนัก    ก็ยังสูญสิ้นเพราะเกิดสงครามและการเสือมโทรมทางศาสนาพุทธในประเทศอินเดียเราคงไม่อยากเห็นในประเทศไทยเป็นแน่แท้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น