welcome to atisayo blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของอติสโย บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา และสรางสรรคสังคมไทย

ศาสนาในโลกนี้ปัจจุบันมีอยู่กี่ศาสนา

ศาสนาในโลกนี้ปัจจุบันมีอยู่กี่ศาสนาและศาสนาใดคนนับถือมากที่สุด?
                ศาสนา หมายถึง ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาดำรงอยู่และจะเป็นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพโดยทั่วไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิยม วัฒนธรรมร่วมกันและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดำรงชีวิต ให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม ศิลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
สำหรับประเทศไทย ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ทุกศาสนา ศาสนาสำคัญ และมีคนนับถือมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์
นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก "อศาสนา"(อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก "อศาสนิก" (อังกฤษ: irreligious person)
              ศาสนา ในโลกนี้มีอยู่ด้วยกันหลายศาสนา ที่เสื่อมความนิยมและสูญหายไปแล้วก็มีอยู่มากมายหลายศาสนาเช่นกัน ที่ยังได้รับการนับถือและศรัทธาอยู่ในปัจจุบัน โดยหลักๆแล้วมีอยู่ประมาณ ๘ ศาสนา ดังนี้
๑.     ศาสนาคริสต์มีผู้นับถือประมาณ ๒,๑๐๐ ล้านคน
๒.     ศาสนาอิสลาม มีผู้นับถืออยู่ประมาณ ๑,๓๐๐ ล้านคน
๓.     ศาสนาฮินดู มีผู้นับถือประมาณ ๘๒๐ ล้านคน
๔.     ศาสนาพุทธ มีผู้นับถือประมาณ ๓๖๐ ล้านคน
๕.     ศาสนาซิกข์ มีผู้นับถือประมาณ ๒๓ ล้านคน๖.     ศาสนายูดายหรือศาสนายิว มีผู้นับถือประมาณ ๑๔ ล้านคน
๗.     ศาสนาบาไฮ มีผู้นับถือประมาณ ๗ ล้านคน
๘.    ศาสนาเชน มีผู้นับถือประมาณ ๔ ล้านคน
               
                ความเชื่อของศาสนาต่างๆนี้มีแตกต่างกัน บ้างก็เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ หรือที่เรียกว่า พหุเทวนิยมความเชื่อในพระเจ้าหลายองค์นี้ในยุคสมัยโบราณนั้นมีอยู่มากมายหลายศาสนา เช่น ศาสนาของชาวกรีกและชาวโรมันโบราณ หรือ ศาสนาโบราณของชาวพื้นเมืองตามทวีปต่างๆทั่วโลกก็เชื่อกันว่ามีพระจ่าหลายองค์ร่วมกันสร้างโลกและสรรพสิ่งขึ้น แต่ศาสนาและความเชื่อของคนโบราณเหล่านั้นก็ค่อยๆจางหายไปกับอารยธรรมต่างๆในโลกนี้ที่เริ่มมีความก้าวหน้าขึ้น ยกเว้นเพียงศาสนาเดียวที่ยังคงยืนยงในศรัทธาของผู้นับถือศาสนานี้ นั่นก็คือศาสนาฮินดู หรือที่เรียกอีกอย่างว่าศาสนาพราหมณ์ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือกันอยู่ในหมู่ชาวอินเดีย สำหรับศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว หรือ เอกเทวนิยมนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายศาสนา เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ยูดาย ซิกข์ และบาไฮ ส่วนศาสนาที่ไม่เชื่อเรื่องของพระเจ้าเลยหรือที่เรียกว่า อเทวนิยมศาสนาพุทธและศาสนาเชน โดยทั้งสองศาสนานี้เกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และในประเทศเดียวกันคือประเทศ อินเดีย ทั้งสองศาสนานี้เชื่อในองค์พระศาสดาเช่นกัน โดยคำสอนของศาสนาก็ยังสอนเชื่อในเรื่องของคุณงามความดี ที่มนุษย์ต้องเป็นผู้กระทำและกำหนดวิถีชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่พระเจ้าหรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ใดเป็นผู้กำหนด อย่างไรก็ดียังมีลัทธิความเชื่ออีกมากมายที่ไม่ถึงขั้นเป็นศาสนา แต่ก็มีผู้คนให้ความศรัทธาอีกเป็นจำนวนมาก ลัทธิต่างๆเหล่านี้ก็มีทั้งที่แตกความ เชื่อออกมาจากศาสนาหลักๆและที่สถาปนาความเชื่อแบบอิสระขึ้นเอง ลัทธิทั้งหลายนี้มีมากมายนับพันนับหมื่นหรือน่าจะนับแสนๆลัทธิเลยทีเดียว และยังมีผู้คนอีกจำนวนมากมหาศาลอีกเช่นกันทั่วทั้งโลกที่ไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรือแม้แต่ลัทธิใดๆเลย คนจำพวกนี้มีทั้งที่เป็นพวกอิสรนิยมและที่สร้างความเชื่อเฉพาะตัวในการดำเนินชีวิตขึ้นมาเอง
                สำหรับในประเทศไทยถึงแม้จะนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักนั้น แต่ความเชื่อในศาสนาของคนไทยส่วนใหญ่กลับเป็นความเชื่อผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับการรับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูในเรื่องของพิธีกรรมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใช้ในวิถีชีวิตประจำวันของเราด้วย ไม่ได้ดำเนินไปตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้พึ่งตัวเองไม่ใช่คอยพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
องค์ประกอบของศาสนา
2.            ศาสดา
3.            คัมภีร์
4.            ผู้สืบทอด
5.            ศาสนสถาน
6.            สัญลักษณ์
7.            พิธีกรรม
พัฒนาการของศาสนา
                มีความเชื่อว่าศาสนานั้นเกิดมาจากความต้องการเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ นับแต่อดีดมนุษย์จะสงสัยว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมต้องเกิดขึ้น จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกิดผลอะไรต่อมาอีก จนนำมาสู่การค้นหาแนวทางต่างๆเพื่อตอบปัญหาเหล่านี้ จนนำมาเป็นความเชื่อและเลื่อมใส ตัวอย่างเช่นศาสนาพุทธ เกิดจากเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ จึงทรงหาแนวทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยวิธีการต่างๆนานา จนทรงค้นพบอริยสัจ 4 ด้วยวิธีที่ เป็นการฝึกจิตด้วยสติจนถึงซึ่งความรู้แจ้ง ในสรรพสิ่ง และความดับความทุกข์ ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับสิ้นซึ่งกิเลส ทรงสอนให้มนุษย์ ให้ทำบุญ รักษาศีล และภาวนา เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการพ้นทุกข์ของมหาชน อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาในปัจจุบัน คำอธิบายของการเกิดขึ้นและพัฒนาการของศาสนา สามารถแบ่งได้เป็นสี่กลุ่ม
ศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความกลัว ในธรรมชาติที่ตนเองไม่รู้ จนต้องวิงวอนและร้องขอในสิ่งที่อยากได้
ศาสนาเกิดจากความไม่รู้สงสัย ในอภิปรัชญาว่าโลกเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และจะเป็นเช่นไรต่อไป
ศาสนาเกิดจากความต้องการที่จะสร้างความเชื่อขึ้นมา เพื่อช่วยควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ให้สังคมสงบสุข
ศาสนาเกิดจากความต้องการที่จะพ้นจากความทุกข์ เช่นความอดอยาก โรคระบาด ความแก่ ความตาย การสูญเสีย
ปรัชญาศาสนา
      ศาสนาของโลกถ้าแบ่งตามลักษณะปรัชญาที่คล้ายคลึงกัน แบ่งได้ 2 ลักษณะ
ศาสนาที่ยึดถือพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด
           กลุ่นศาสนาที่นิยมเรียกว่า ปรัชญาตะวันตก โดยถือตามอิทธิพลในการรับอารยธรรม ได้แก่ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายูดาย (ยิว) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามศาสนาซิกข์ ศาสนาบาไฮ ศาสนาฮินดูศาสนาพราหมณ์ (แบบเก่า) ศาสนากลุ่มนี้มีลักษณะที่คล้ายกันคือ
พระเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาสูงสุด ที่ไม่อาจเข้าถึงได้ ถ้าพระองค์ไม่ประสงค์
ศาสนิกต้องแสดงความรักหรือภัคดีต่อพระเจ้าด้วยการสรรเสริญ ปฏิบัติตามที่พระองค์ประสงค์ที่ได้ตรัสผ่านศาสนทูตของพระเจ้า
อาจขอให้ทรงไถ่บาป อ้อนวอนให้ทรงประทานสิ่งที่ดีแก่ชีวิต
เชื่อว่าทรงเป็นพระผู้สร้าง สร้างสรรพสิ่ง กำหนดสภาวการณ์ที่เป็นไปของโลก แต่ทรงปล่อยให้มนุษย์เลือกทางแห่งตนเอง โดยจะทรงช่วยเมื่อมนุษย์ลงมือกระทำ
ก่อนที่จะเชื่อให้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เมื่อเชื่อแล้วอย่าสงสัย เพราะพระเจ้าจะทรงทดสอบจิตใจในศรัทธา
เมื่อถึงวันสิ้นโลกพระเจ้าจะทำลายทุกสิ่ง ที่พระองค์สร้างขึ้น และจะชุบชีวิตทุกคนให้ฟื้นคืนชีพมารับฟังคำพิพากษา ผู้เชื่อจะรอด และอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ ผู้ไม่เชื่อ จะถูกลงทัณฑ์ให้ตกนรกชั่วกาล
ให้วางใจในพระเจ้า รับพระองค์เข้าไว้ในใจจะพบแต่สันติสุข
ศาสนาที่มุ่งเข้าถึงความจริงสูงสุด
            กลุ่มศาสนาที่นิยมเรียกว่าปรัชญาตะวันออก โดยถือตามอิทธิพลในการรับอารยธรรม ได้แก่ศาสนาพุทธทั้งเถรวาท นิกายเซนและวัชรยาน ศาสนาเชน ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ ศาสนากลุ่มนี้มีลักษณะที่คล้ายกันคือ
เชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองตามกฎธรรมชาติ สรรพสิ่งแท้จริงเป็นเพียงความว่างเปล่า
ความจริงแท้ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด และไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยหลักตรรกะและอนุมาน
การเข้าถึงความจริงแท้ทำได้ด้วยการบรรลุปัญญาญาณ จากการไม่ติดอยู่ในมายาของตรรกะและอนุมาน
เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อในกฎแห่งกรรม
มีหลักคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ที่มักน้อยสันโดษพอเพียง ยึดถือหน้าที่ มีวันัยสูงไม่เห็นแก่ตัว แต่ไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวง มุ่งละกิเลส
เชื่อในตัวมนุษย์ว่าเข้าถึงความจริงได้ ทุกสิ่งเกิดจากการกระทำของตนเอง เชื่อในศาสตร์ลี้ลับ (เวทมนตร์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์) ว่ามีจริง
เชื่อว่าถ้าจิตวิญญาณเข้าถึงความจริงสูงสุดจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
         ทั้งสองกลุ่มมีความเชื่อที่ไม่เหมือนกันคือกลุ่มแรกยอมรับว่าองค์สูงสุดมีอยู่จริง เช่นศาสนาคริสต์และอิสลามเรียกองค์สูงสุดว่าพระเจ้า ผู้นับถือมีเป้าหมายเพื่อการเข้าไปรวมอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนกลุ่มหลังเช่นศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าหรือองค์สูงสุด แต่เชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้า (เหล่าพรหมา) ซึ่งเป็นเทวดาชั้นสูงสุดเรียกว่าพรหม แต่ต่างกันตรงที่ผู้ที่นับถือศาสนาศาสนาพุทธไม่มีเป้าหมายเพื่อการไปรวมอยู่กับพรหม แต่สามารถไปเกิดเป็นพรหมได้ เพราะการรวมอยู่หรือไปเกิดเป็นพรหม เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ อันมีต่ำสุดคือนรก สูงสุดคือพรหม อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทางที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้จึงมีทางเดียวเท่านั้นคือนิพพาน
ศาสนาในโลกถึงแม้จะมีมาก แต่ถ้าจัดเป็นประเภทก็ได้เป็น 2 ประเภท คือ
 เทวนิยม
         เชื่อว่ามีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย หรือเรียกกันว่าพระเจ้า มีพระเจ้าสูงสุด เพียงพระองค์เดียว พระองค์เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งและเชื่อกันว่าพระเจ้าอาจติดต่อมนุษย์ โดยผ่านศาสดาพยากรณ์หลายองค์ เช่น พระอัลเลาะห์ ทรงติดต่อกับท่านนบีมุฮัมหมัด พระยะโฮวาห์ ทรงติดต่อกับ ท่านโมเสส และพระเยซู ส่วนบางศาสนาก็นับถือพระเจ้า หรือเทพเจ้าหลายองค์ อย่าง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าพระเจ้าอวตารแยกเป็น3องค์ เป็นต้น ศาสนาแบบเทวนิยม ได้แก่
อเทวนิยม
        ศาสนาประเภทนี้ ไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระเจ้า โดยเชื่อว่าโลกและสรรพสิ่งเกิดขึ้นเองตามกฎของธรรมชาติ เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง ทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ศาสนาประเภทนี้ ได้แก่
ศาสนาที่ตายแล้ว
ศาสนาในโลกอาจแบ่งเป็นศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ ศาสนาที่ตายแล้ว และศาสนาที่สาบสูญ
1.            ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ คือศาสนาที่มีความเป็นสถาบันมีองค์กร มีผู้นับถือเป็นจำนวนมากพอประมาณ มีระบบคำสอน ได้แก่ศาสนาในโลกปัจจุบัน
2.            ศาสนาที่ตายแล้ว คือศาสนาที่เคยมีผู้นับถือ แต่ปัจจุบันแทบไม่มีคนนับถืออีกแล้ว แต่ยังมีหลักฐานให้เรารู้ว่าเคยมีศาสนานี้อยู่ในโลกมาก่อน
3.            ศาสนาที่สาบสูญ คือศาสนาที่เราไม่มีข้อมูลให้รู้ว่าเคยมีศาสนานี้อยู่ในโลกมาก่อน
ศาสนาที่ตายแล้ว
ศาสนาอียิปต์โบราณ
ศาสนาเปรูโบราณ
ศาสนาเม็กซิโกโบราณ
ศาสนามิถรา
ศาสนามาณิกิ
ศาสนาบาบิโลเนี่ยน
ศาสนาสุเมอเลี่ยน-อัคคาเดียน
ศาสนาฮิทไทท์
ศาสนากรีก
ศาสนาโรมัน
ศาสนาเซลติก
ศาสนาสแกนดิเนเวีย-ติวตันโบราณ
ศาสนาในโลกปัจจุบัน


ลัทธิ
จำนวนผู้นับถือศาสนาและลัทธิต่างๆ
ศาสนาคริสต์: 2.1 พันล้านคน
ศาสนาอิสลาม: 1.5 พันล้านคน
ไม่นับถือศาสนา/เชื่อในวิทยาศาสตร์แบบตายแล้วสูญ/อศาสนา: 1.1 พันล้านคน
ศาสนาพุทธ: 376 ล้านคน
ศาสนาซิกข์: 23 ล้านคน
ลัทธิจูเช (นับถือคิมอิลซุง) : 19 ล้านคน
นับถือผี: 15 ล้านคน
ศาสนายิว: 14 ล้านคน
ศาสนาบาไฮ: 7 ล้านคน

   


ศาสนาในประเทศไทยที่รัฐบาลให้ความอุปถัมภ์
ศาสนาในประเทศไทยที่รัฐบาลให้ความอุปถัมภ์ มีทั้งหมด 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ ทุกศาสนามีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ ๆ 5 ประการ คือ ศาสดา ศาสนธรรม ศาสนิก ศาสนสถาน และศาสนพิธี
1. ศาสดา หมายถึงองค์ศาสดาที่มีตัวตนอยู่จริง สามารถตรวจสอบยืนยันได้ทางประวัติศาสตร์ ฐานะของศาสดาจะเป็นที่เคารพสักการะของศาสนิกชน 
2. ศาสนธรรม เป็นผลสืบเนื่องมาจากศรัทธา หรือ สืบเนื่องมาจากปัญญาของศาสดา ศาสนิกชนนับถือในฐานะสิ่งสูงสุด จะต้องให้ความเคารพสักการะ เทอดทูน แม้แต่ตัวคัมภีร์ที่ใช้จารึกคำสอน
3. ศาสนิกชน คือ ปวงชนที่ให้การยอมรับนับถือในคำสั่งสอนศาสนา นั้น ๆ ปกติมี 2 ประการหลัก คือ นักบวชและผู้ครองเรือน หรือบางศาสนาแม้จะไม่มีนักบวช แต่มีคนทำหน้าที่ฝึกอบรม สั่งสอนศาสนิก
4. ศาสนสถาน ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของนักบวช การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จนถึงเป็นที่รวมองค์ประกอบหลักของศาสนาทั้งหมดในศาสนสถาน ฐานะ ของศาสนสถานจึงเป็นสมบัติของศาสนา
5. ศาสนพิธี พิธีกรรมที่ถูกกำหนดขึ้นจากศาสดาโดยตรง หรือศาสนิกคิดค้นขึ้น มีเนื้อหาโดยสรุปคือ มุ่งขจัดความไม่รู้ ความกลัว ความอัตคัด สนองตอบความต้องการในสิ่งที่ตนขาดแคลนจำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ของการศึกษา ค้นคว้าปฏิบัติตามหลักของศาสนา 
                   แม้ประเทศไทยจะมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก ทางราชการได้ให้ความสำคัญด้านศาสนามาก ดังจะเห็นได้จากการกำหนด วันหยุดราชการในวันศาสนพิธีสำคัญ ๆ คือวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา เพื่อให้ พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน ในส่วนของศาสนาอื่นนั้นรัฐบาลก็ได้เอื้อเฟื้อต่อคนไทยที่นับถือ ศาสนานั้น ๆ และให้ความอุปถัมภ์ตามโบราณราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์ไว้ ซึ่งได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ และในวันสำคัญของศาสนาอื่น ๆ ศาสนิกชนก็สามารถปฏิบัติ พิธีกรรมทางศาสนาของตนเองได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการให้องค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาสนาในประเทศไทย รายงานบทนี้จึงขอเสนอประวัติความเป็นมาของแต่ละศาสนา โดยสรุปพอสังเขปดังต่อไปนี้
1 ศาสนาพุทธ
ประวัติความเป็นมา
     พุทธศาสนาอุบัติขึ้นในขณะที่ศาสนาดั้งเดิมคือศาสนาพราหมณ์กำลังเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นเจ้าชายสิทธัตถะรวามทั้งพระราชบิดา พระราชมารดาและพระประยูรญาติทั้งหลายต่างก็นับถือศาสนาพราหมณ์ทั้งนั้น และยังมีศาสนาหนึ่งที่เกิดร่วมสมัยของพุทธศาสนา คือ ศาสนาเชน แต่ในพุทธประวัติไม่ค่อยกล่าวถึง
     
เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารกรุงกบิลพัสดุ์ ได้พบความไม่เป็นแก่นสารของโลกและชีวิต จึงเสด็จออกผนวชแสวงหาโมกขธรรม ใช้เวลาทดลองพิสูจน์ตามลัทธิต่างๆอยู่นานถึง 6 ปี แต่ในที่สุดก็ทรงเห็นว่ามิใช่ทางพ้นทุกข์ จึงทรงละเว้นทางเหล่านั้นเสียกลับมาใช้การค้นคว้า ในทางของพระองค์เอง และในที่สุดก็ได้ตรัสรู้อริยสัจ 4 ณ วันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศก 45 ปี
ศาสดา
                                                              พระพุทธเจ้าทรงถือกำเนิดจากพระเจ้าสุทโธทนะเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ และพระนางเจ้ามายา โดยทรงประสูติในวันศุกร์ เพ็ญเดือนวิสาขะ (เดือน 6 ราวเดือนพฤษภาคม) ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เวลาสาย ใกล้เที่ยง และประสูติที่สวนลุมพินีวัน พระเจ้าสุทโธทนะได้เชิญพราหมณ์ มาฉันโภชนาหาร พราหมณ์ได้ถวายคำพยากรณ์เป็น 2 นัย คือ ถ้าพระกุมารทรงอยู่ครองเพศฆราวาสจักได้เป็นพระจักรพรรดิยิ่งใหญ่ในโลก และถ้าพระราชโอรสออกผนวชจักได้เป็นพระศาสดาเอกของโลก หลังจากนั้นพราหมณ์ทั้งหลายได้ร่วมกันถวายพระนามพระกุมารว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า ผู้ต้องการความสำเร็จ
     
เมื่อพระกุมารเจริญวัย มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้อภิเษกสมรสกับพระนางยโสธรา  หลังจากอภิเษกสมรสได้ 13 พรรษา พระนางยโสธรามีครรภ์และประสูติพระโอรสทรงพระนามว่า "ราหุล" เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา
     
เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชาในคืนที่พระโอรสประสูติ ทรงแสวงหาโมกขธรรม โดยการศึกษาในสำนักดาบส แต่ก็ไม่พบหนทางในการดับทุกข์ จึงออกจากสำนักดาบส แล้วจึงเริ่มบำเพ็ญทุกรกิริยา จนร่างกายซูบผอม ก็ทรงเลิก เนื่องจากไม่ใช่หนทางในการตรัสรู้ จึงทรงใช้วิธีการบำเพ็ญเพียรทางจิต จนในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก็ตรัสรู้ เป็นองค์พระพุทธเจ้า ภายหลังที่เสด็จออกบรรพชา และทรงทำความพากเพียรพยายามมาตลอดเวลา 6 ปี มีพระชนม์ 35 พรรษา
     
หลังจากตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ทรงเผยแผ่ศาสนา โปรดประชาชน พระประยูรญาติ แสดงธรรมโปรดพระสงฆ์ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจตลอด 45 พรรษา พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา
คัมภีร์
     คัมภีร์ศาสนาพุทธ เรียกว่า "พระไตรปิฎก"  แปลว่า 3 คัมภีร์ คำว่าปิฎก แปลว่า ตะกร้าหรือกระจาด ปิฎกทั้ง 3 แบ่งออกได้เป็น
     1.
วินัยปิฎก  คัมภีร์ว่าด้วย วินัย คือศีลของพระภิกษุ ภิกษุณี มีรายละเอียดในการบัญญัติแต่ละครั้งมาก นอกจากนั้นยังมีเรื่องเกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติ และวิธีดำเนินการในการบริหารคณะสงฆ์โดยพิศดาร
     2.
สุตตันตปิฎก คัมภีร์ว่าด้วยพระสูตร คือคำเทศนาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และสาวก มีเรื่องราวประกอบมาก รวมทั้งรายละเอียดแห่งการที่จะทรงโต้ตอบกับนักบวชแห่งศาสนาอื่น และผู้ที่มาซักถาม มีการกล่าวถึงภูมิประเทศ เหตุการณ์ บุคคล และวันเวลา คือกล่าวถึงว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร ไว้อย่างครบถ้วน พลอยทำให้ได้ประโยชน์ในการศึกษาประวัติศาสตร์ของชาวอินเดียด้วย
     3.
อภิธรรมปิฎก คัมภีร์ว่าด้วย อภิธรรม กล่าวถึงธรรมะล้วนๆ ของพระพุทธองค์ ไม่กล่าวถึงเหตุการณืและสิ่งที่มาเกี่ยวข้องเหมือนสุตตันตปิฎก
หลักธรรม
     พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีหลักธรรมคำสอนมากมายและละเอียดทุกแง่ทุกมุม จึงขอสรุปหลักธรรมเฉพาะที่นับว่าสำคัญจริงๆ ได้ดังต่อไปนี้
     1.
โอวาทปาฏิโมกข์ มีใจความสำคัญ ดังนี้
          1.
ให้เว้นจากความชั่วทั้งหมด
          2.
ให้สร้างความดีสม่ำเสมอ
          3.
ให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์
     2.
อริยสัจ 4 คือ ธรรมที่เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ดังต่อไปนี้
          1.
ทุกข์ หมายถึง ความทุกข์ทั้งสิ้น
          2.
สมุทัย เหตุให้เิกิดทุกข์
          3.
นิโรธ ความดับทุกข์
          4.
มรรค ทางให้ถึงความดับทุกข์
     3.
ปฏิจจสมุปบาท ปัจจัยแห่งกันและกัน มี 12 องค์ประกอบ ดังนี้
          1.
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
          2.
สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
          3.
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
          4.
นามรูป เป็นปัจจัยให่เกิดสฬายตนะ
          5.
สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ
          6.
ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
          7.
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา
          8.
ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน
          9.
อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิดภพ
          10.
ภพ เป็นปัจจัยให้เกิดชาติ
          11.
ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิดชรามรณะ โกสะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส
          12.
ชรามรณะ
     4.
นิพพาน เป็นเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธ นิพพาน หมายถึง ความดับสนิทแห่งกิเลส ถ้ากิเลสดับสนิทในขณะมีชีวิตอยู่ เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน แต่ท่านที่ดับกิเลสสิ้นลม เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน
     5.
ไตรลักษณ์ แปลว่า ลักษณะ 3 หมายถึง กฎธรรมชาติของสรรพสิ่ง กฎนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "สามัญลักษณะ คือ เป็นลักษณะทั่วไป" มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
     1.
อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง คือ ไม่คงที่ ไม่ถาวร ไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
     2.
ทุกขตา ความเป็นทุกข์ เพราะมีความเปลี่ยนแปลงจึงทนได้ยาก ทำให้เกิดทุกข์
     3.
อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน คือบังคับไม่ให้ ไม่อยู่ในอำนาจ เป็นสิ่งสมมติ ไม่ใช่ของตนแท้จริง
นิกาย
     ในพระพุทธศาสนามีนิกายแบ่งย่อยออกเป็น 2 นิกายใหญ่ ซึ่งเกิดจากการตีความพุทธพจน์แตกต่างกันตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา คือ
     1.
นิกายเถรวาท หรือหินยาน เป็นนิกายดั้งเดิม ยึดถือหลักพระธรรมวินัยตามที่พระมหากัสสปเถระ เป็นต้น ได้สังคายนาไว้เมื่อพุทธปรินิพพานได้ 3 เดือน เจริญอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ได้แพร่หลายไปยังประเทศเอเชียใต้ เช่น ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว และเขมร เป็นต้น บางครั้งเรียกนิกายฝ่ายใต้
     2.
มหายานหรืออาจาริยวาท เป็นนิกายที่แยกออกมาใหม่ ยึดถือหลักธรรมตามการตีความใหม่และการปฏิบัติของอาจารย์ของตน เจริญอยู่ตอนเหนือของอินเดีย ได้แพร่เข้าไปสู่ประเทศธิเบต จีน เกาหลี เวียดนาม และญี่ปุ่น เป็นต้น บางครั้งเรียกนิกายฝ่ายเหนือ
พิธีกรรม
     ในพระพุทธศาสนามีพิธีกรรมอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
     1.
พิธีกรรมเกี่ยวกับงานมงคล เช่น เกี่ยวกับการเกิด การโกนผมไฟ การบวช การแต่งงาน การขึ้นบ้านใหม่ การทำบุญวันเกิด และการทำบุญอันเพื่อมงคลอื่นๆ ในเทศกาลตรุษต่างๆ เป็นต้น
     2.
พิธีกรรมเกี่ยวกับงานอวมงคล เช่น งานตายและงานเนื่องด้วยผู้ตาย เป็นต้น
     
อย่างไรก็ตาม อาจแยกให้เห็นพิธีกรรมเหล่านี้ได้ดังนี้                                                 
          1.
พิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
          2.
พิธีถืออุโบสถศีล                             
          3.
พิธีบรรพชา - อุปสมบท
          4.
พิธีทอดกฐิน
          5.
พิธีทอดผ้าป่า
          6.
พิธีวิสาขบูชา
          7.
พิธีอัฏฐมีบูชา
          8.
พิธีอาสาฬหบูชา
          9.
พิธีเข้าพรรษา - ออกพรรษา
          10.
ประเพณีเกี่ยวกับการเกิด การตาย เป็นต้น                                   
                                                                              
สัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ

     สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนามีหลายอย่าง แต่มีสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป มีดังนี้
     1.
ธรรมจักร หมายถึง วงล้อแห่งพระธรรม ธรรมจักรใช้แทนหลักธรรม คือ มรรค 8 คือ อริยสัจข้อที่ 4 ซึ่งเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมจักรมี 8 กำ ได้รับการรับรองให้เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศษสนาระดับชาติ และธงทางพุทธศาสนา 6 สี (ฉัพพรรณรังสี) ซึ่งใช้อยู่ในประเทศศรีลังกาในขณะนี้ ได้รับการให้ใช้เป็นธงแห่งพุทธศาสนาระดับชาติ แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทย นิยมใช้ธงธรรมจักรพื้นสีเหลืองมากกว่า
     2.
พระพุทธรูป พระพุทธรูปนิยมสร้างขึ้นในอิริยาบถต่างๆ ไว้เคารพบูชาแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเหมือนสิ่งแทนคล้ายอนุสาวรีย์ ทำให้ผู้พบเห็นน้อมระลึกถึงพระคุณ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณของพระพุทธองค์
     3.
รอยพระพุทธบาท ในสมัยที่ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูป ชาวพุทธนิยมสร้างรอยพระพุทธบาทซึ่งแทนทั้งองค์พระพุทธเจ้า และร่องรอยแห่งความดีที่พระพุทธเจ้าทรงประทับไว้เป็นแบบอย่าง
     4.
ใบโพธิหรือต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าทรงอาศัยร่มเงาในระหว่างเวลาที่ทรงบำเพ็ญเพียร และได้ตรัสรู้อริยสัจธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสนาพุทธถือกำเนิดในประเทศอินเดียก่อนพุทธศักราช 45 ปี (พุทธศักราชเริ่มตั้งแต่ปีพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน) ซึ่งนับว่าเป็นศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกศาสนาหนึ่ง มีผู้นับถือหลายร้อยล้านคนโดยเฉพาะในแถบประเทศเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะในประเทศไทย พระพุทธศาสนาได้แผ่ขยายเข้ามาสู่ ดินแดนสุวรรณภูมิ ได้แก่ ในเขตประเทศพม่า และประเทศไทย ในสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งมีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
พระศาสดาผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายาแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ในขณะที่ทรงพระเยาว์ก็ได้ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักต่าง ๆ หลายสำนัก จนกระทั่งมีความรู้ ความสามารถ และความชำนาญในวิชาการต่าง ๆ หลายสาขา
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 16 พรรษาทรงอภิเษกสมรสกับเจ้า หญิงยโสธรา มีพระโอรสหนึ่งพระองค์ คือ เจ้าชายราหุล ในชีวิตฆราวาสของพระองค์มีแต่ความสุขสมหวัง ต่อมาเมื่อพระชนมายุได้ 29 พรรษา ก็ทรงเบื่อหน่ายโลก เพราะทรงเห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขาร และทรงหวังจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ จึงได้ทรงสละความสุขทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นพระราชทรัพย์ พระโอรส พระมเหสี พระบิดาพระมารดา ญาติพี่น้องและมิตรสหายออกบวช เพื่อหาทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ทรงผนวชอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา จึงได้ตรัสรู้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คือ รู้แจ้งสัจธรรมแห่งโลก เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยคำว่า " พุทธ " หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปโปรดสัตว์ สั่งสอนประชาชนตามแคว้น ต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย เป็นเวลา 45 ปี ปรากฎว่าชาวอินเดียในสมัยนั้นได้หันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา และเข้ามาบรรพชาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่จนกระทั่งมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย
คำสอนของพระพุทธเจ้าได้รับการบันทึกไว้เป็นพระคัมภีร์ เรียกว่า พระไตรปิฎก มีความยาว 84,000 พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น 3 คัมภีร์ คือ คัมภีร์พระวินัยปิฎก ว่าด้วยเรื่อง วินัย ศีล สำหรับให้พระภิกษุ สามเณร ปฏิบัติ นอกจากนี้คัมภีร์พระไตรปิฏกยังกล่าวถึงศีลเบื้องต้น และการกำหนดกฏเกณฑ์ ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่นเรื่อง การอุปสมบท การผูกพัทธสีมา เป็นต้น คัมภีร์พระสุตตันตปิฎก เป็นคัมภีร์พระสูตร กล่าวถึงหลักธรรมต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า คัมภีร์พระอภิธรรมปิฎก กล่าวถึงธรรมชั้นสูง หรือปรมัตตสัจจะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ 
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่รวบรวมได้จากการประชุมคณะสงฆ์ ภายหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วประมาณ 1 ศตวรรษ มีดังนี้ 
1. อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
2.
อริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
3.
ปฏิจจสมุปปาท
4.
อริยมรรค 8
5.
นิพพาน
คำสอนด้วยมรรค 8 เป็นคำสอนให้ดับทุกข์ทั้งปวง ย่อลงมาได้เป็นไตร สิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มีดังนี้
1. สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ คือ ศีล
2.
สัมมาวาจามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ คือ สมาธิ
3.
สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ คือ ปัญญา
ความหมายในการศึกษา ของ ไตรสิกขา ซึ่งเป็นสุดยอดการปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา คือ
1. ศีล คือการฝึกฝนพัฒนาด้านพฤติกรรม ทางกาย และวาจา ให้มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องและเกิดผลดี
2.
สมาธิ คือ การฝึกฝนพัฒนาในด้านจิตใจ เนื่องจากพฤติกรรมทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความตั้งใจ ถ้าจิตใจได้รับการพัฒนาให้ดีงามแล้ว ก็จะควบคุมดูแลและนำพฤติกรรมไปในทางที่ดีงามด้วย
3.
ปัญญา คือ การพัฒนาปัญญา เพราะปัญญาเป็นตัวนำทางและควบคุมพฤติกรรมทั้งหมด เป็นตัว ปลดปล่อยจิตใจ ให้ทางออกแก่จิตใจที่โล่งและเป็นอิสระ
หัวใจพระพุทธศาสนา 3 ประการ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหันต์ 1,250 รูป ณ พระเวฬุวัน หลังจากตรัสรู้เพียง 9 เดือน และทรงแสดงปฐมเทศนาเพียง 7 เดือน ก็ทรงสรุปรวมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ฝ่ายของมรรคกับนิโรธ ซึ่งถ้าใครปฏิบัติตามที่แสดงไว้ ทุกข์กับสมุทัย ก็หมดไป กล่าวโดยสรุปรวมเป็นไตรสิกขาตรงตัว คือ 1. การไม่ทำบาปทั้งปวง 2. การทำกุศลให้สมบูรณ์ 3. การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว 
2 ศาสนาอิสลาม
ประวัติความเป็นมา
                              ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นในประเทศอาหรับ ชนชาวอาหรับเป็นชนชาติที่มีความเกี่ยวพันทางสายโลหิตกับชาวฮีบรู เป็นชนชาวพเนจร เร่ร่อนตามทะเลทราย พวกนี้มาพบภูมิประเทศแห่งหนึ่งเป็นที่แคบ มีภูเขากระหนาบอยู่ทั้งสองข้าง มีน้ำพุพุ่งสูงขึ้นในที่แคบนั้น จึงพากันเริ่มตั้งถิ่นฐานขึ้นที่นั่นเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ไม่มีวันแห้ง
     
ต่อมาสถานที่นั้นได้กลายเป็นเทวสถานเรียกชื่อว่า "กาบา หรือกะอ์บะฮ์" มีก้อนหินสูงราว 10 เมตร กว้างราว 12 เมตร ตั้งอยู่ตรงกลาง  มีระเบียงล้อมรอบ มีเสาถึง 240 ต้นมีเทวรูปเก็บไว้ในเทวสถานนี้ถึง 360 องค์ เป็นเทพเจ้าของชาวอาหรับแต่ละพวกเก็บมารวมไว้ เทวสถานกาบาจึงมีความสำคัญมาก เป็นศูนย์กลางของชาวอาหรับจะนัดพบกัน จิตใจของชาวอาหรับมารวมกันอยู่ที่นั่น
     
ผู้ทำหน้าที่รักษาดูแลเทวสถานเรียกว่า โกรายซิตส์ หรือโกเรอิส(Koreish) พวกนี้เป็นต้นคิดให้สร้างเมืองขึ้นเมืองหนึ่งรอบบริเวณเทวสถานกาบา เมืองนี้คือเมือง "เมกกะ หรือ มักกะฮ์"  ซึ่งอิสลามิกชนทั่วโลกขวนขวายที่จะไปนมัสการ อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิตและถ้าตายในเมกกะก็ได้ขึ้นสวรรค์แน่
     
เนื้อที่ส่วนมากในอาหรับเป็นทะเลทราย ภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศจึงแตกต่างกัน คือ กลางวันร้อนจัด กลางคืนหนาวเหน็บ เมื่อสภาพอากาศเป็นเช่นนี้ นิสัยใจคอของชาวอาหรับเองก็แปรปรวน ชาวอาหรับเป็นชนชาติที่มีการปฏิสันถารต้อนรับแขกที่มาเยือนอย่างดีเลิศ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเจ็บแค้นก็มีความอาฆาตพยาบาทอย่างรุนแรง ใครที่เป็นศัตรูกันก็จะแก้แค้น กันไปทั้งครอบครัวชนิดที่ว่าล้างโคตรกันไปเลย เป็นนักรบอย่างดุดันมโหด มีนิสัยดื้อดึง พูดตลกขบขัน เป็นเจ้าบทเจ้ากลอน
ศาสดา
     พระมะหะหมัด หรือพระนบีมะหะหมัด หรือมุฮัมมัด ประสูติที่เมืองเมกกะ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 570 บิดาชื่อ อับดุลเลาะห์ มารดาชื่อ อามีนะฮ์ บิดาถึงแก่กรรมขณะที่มารดาตั้งครรภ์พระองค์ได้ 2 เดือน ภายหลังพระองค์ประสูติได้ไม่นานมารดาของพระองค์ก็ถึงแก่กรรม พระองค์ต้องอาศัยอยู่กับปู่ซึ่งชราอายุร่วม 100 ปี ไม่นานปู่ก็ถงแก่กรรม พระองค์ต้องไปอาศัยอยู่กับลุง ซึ่งเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย ลุงฝึกสอนให้พระมะหะหมัดทำการค้าขาย พระมะหะหมัดมีนิสับช่างนึกตรึกตรองมาแต่เด็ก บางครั้งจึงเหมือนเป็นคนใจลอย สนใจไปทางอื่น ไม่ใช่เรื่องการขาย ตลอดชีวิตไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่การท่องเที่ยวค้าขายก็ทำให้ได้ความรู้มาก เพราะได้เดินทางไปจนถึงประเทศอียิปต์ และซีเรีย ได้พบคนหลายชาติ หลายภาษา
     
ครั้งหนึ่งพระมะหะหมัดขึ้นไปบนยอดเขาฮิรา และที่ยอดเขานี้เอง ความคิดเรื่องถือพระเจ้าองค์เดียวได้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับโมเสสได้รับบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า ที่ภูเขาซีนาย มีเรื่องเล่าว่า มีเทพองค์หนึ่งมาปรากฎตัวแก่พระมะหะหมัดโดยบอกให้รู้ว่า พระเจ้าที่แท้จริงมีอยู่องค์เดียว คือ พระอัลเลาะห์(อัลลอฮ์) และให้พระมะหะหมัดเผยแผ่ศาสนา เรื่องพระอัลเลาะห์ เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1453 ขณะที่พระมะหะหมัดอายุ 40 ปี และภายหลังที่แต่งงานกับคาดียะห์ มีความเป็นอยู่อย่างสงบสุข มีทรัพย์สมบัติมากมายแล้วถึง 15 ปี จึงมีเวลาพอที่จะสนใจใฝ่ศึกษาลัทธิศาสนาต่างๆ คือ ศาสนายิวและคริสต์ศาสนา
     
พระมะหะหมัดไปสิ้นพระชนม์ที่เมืองเมดินา ในปี พ.ศ. 1175 เมื่ออายุได้ 61 ปีกว่า
คัมภีร์
     คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม คือ คัมภีร์อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์ที่บันทึกคำสั่งของพระอัลเลาะห์ซึ่งมีเทวโองการผ่านมาทางพระมะหะหมัด ในคัมภีร์อัลกุรอาน มีหลักศรัทธา 6 ประการ และหลักการปฏิบัติ 5 ประการ ดังต่อไปนี้
     1. หลักศรัทธาความเชื่อ 6 ประการ ดังนี้
          1. ศรัทธาในพระอัลเลาะห์องค์เดียว
          2.
ศรัทธาในศาสดาองค์ต่างๆ และมีศรัทธาเชื่อมั่นว่าพระมะหะหมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย
          3.
ศรัทธาในคัมภีร์อัลกุรอาน
          4.
ศรัทธาเชื่อมั่นว่า เทพเป็นผู้นำคำสอนจากพระเจ้ามาสู่พระมะหะหมัด
          5.
ศรัทธาเชื่อในวันพระเจ้าพิพากษาโลก หรือวันสิ้นโลกซึ่งเป็นวันที่วิญญาณจะต้องรับผลกรรมจากการกระทำขณะเมื่อยังมีชีวิตอยู่
          6.
ศรัทธาเชื่อว่าสภาวะของโลกและชีวิตเป็นไปตามเจตจำนงของพระอัลเลาะห์
     
2. หลักปฏิบัติ 5 ประการ
          1. ประกาศปฏิญาณ ชาวมุสลิมจะต้องปฏิญาณอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิตต่อหน้าพยาน 2 คน ว่ามีศรัทธาเชื่อมั่นในพระเจ้าอัลเลาะห์ และพระมะหะหมัดเป็นศาสนทูตของพระอัลเลาะห์
          2.
การสวดมนต์ ชาวมุสลิมเรียกว่า ละหมาด ซึ่งในคัมภีร์อัลกุรอาน กำหนดไว้ว่าจะต้องสวดมนต์วันละ 4 ครั้ง แต่พระมะหะหมัดสวดมนต์วันละ 5 ครั้ง ดังนั้นชาวมุสลิมจึงปฏิบัติตามพระมะหะหมัด คือ สวดมนต์ในเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ก่อนเที่ยงวัน เวลาบ่าย ภายหลังตะวันตก และเมื่อตะวันตกแล้ว 2 ชั่วโมง
          3.
การบริจาคทาน การบริจาคทานของชาวมุสลิมเป็นลักษณะสังคมสงเคราะห์ กล่าวคือ ตัวแทนของศาสนาจะเก็บเงินได้จากผู้บริจาคเพื่อไว้ใช้ช่วยเหลือคนยากจน เป็นการทำให้สังคมของชาวมุสลิมอยู่อย่างพึ่งพากันได้
          4.
การถือศีลอด ชาวมุสลิมต้องถือศีลอดเป็นเวลา 1 เดือน ในช่วงเวลา 1 ปี โดยจะเริ่มในเดือนรอมฎอน หรือเราะมะฎอน คือเดือนที่ตามปฏิทินศาสนาอิสลาม
ในช่วงนี้ชาวมุสลิมจะสวดมนต์วันละ 5 ครั้ง อดอาหารและน้ำ สำรวมกายใจ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก ในขณะที่ถือศีลอด ห้ามพูดคำหยาบ คำไร้สาระ ละความชั่วทั้งมวล ไม่วิวาท เป็นการบำเพ็ญศีล เพื่อสร้างขันติธรรมและเมตตาธรรมให้เกิดกับใจ ผู้ไม่ถือศีลอดจะถูกลงโทษ ด้วยการให้ทำละหมาดเพิ่ม หรือถือศีลอดเพิ่ม การที่ชาวมุสลิมถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเพราะเชื่อว่าเป็นเดือนที่พระอัลเลาะห์ส่งคัมภีร์อัลกุรอานมาให้มนุษยชาติ
          5.
การทำพิธีฮัจญ์ คือการไปแสวงบุญที่นครเมกกะ ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเริ่มพิธีในเดือน 12 ของปฏิทินศาสนาอิสลาม การไปบำเพ็ญพิธีฮัจญ์ไม่ได้กำหนดให้ชาวมุสลิมต้องปฏิบัติ แต่ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า เป็นความประสงค์ของพระอัลเลาะห์ ให้มนุษย์ไปบำเพ็ญพิธีฮัจญ์ ผู้เข้าพิธีฮัจญ์ต้องเป็นมุสลิม เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความสามารถทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ การเดินทางต้องปลอดภัย ผู้เข้าพิธีฮัจญ์ต้องแต่งชุดขาว
หลักธรรม
     หลักธรรมที่มุสลิมควรปฏิบัติมีดังนี้
     1.
ข้อควรเว้นทางกาย
           1.
ไม่กราบไหว้รูปเคารพ
           2.
ไม่ดูหมิ่นคัมภีร์อัลกุรอานและคำสั่งสอนของพระมะหะหมัด
           3.
ไม่เอนเอียงไปทางศาสนาอื่น
           4.
ไม่ทำความสกปรกให้เกิดแก่พระคัมภีร์อัลกุรอานและพระนามพระอัลเลาะห์
           5.
ไม่ประพฤติตนเป็นอุปสรรคต่อผู้ประสงค์จะนับถือศาสนาอิสลาม
           6.
ไม่แสดงกิริยาท่าทางอันเกี่ยวกับพิธีกรรมของศาสนาอื่น   ฯลฯ
      2.
ข้อควรเว้นทางวาจา
           1.
ไม่พูดว่า ตนได้เคยเห็นพระอัลเลาะห์
           2.
ไม่พูดว่า ตนเคยสนทนากับพระอัลเลาะห์
           3.
ไม่พูดว่า พระอัลเลาะห์ทรงมีความงดงาม
           4.
ไม่ยกเอาพระนามพระอัลเลาะห์มาอ้างในการกระทำอันไม่ควร
           5.
ไม่กล่าวหาหรือนินทาบรรดาพี่น้องมุสลิมว่าเป็นผู้ปฏิบัตินอกลู่นอกทาง
           6.
สิ่งที่ทำไม่ได้อย่าพูดว่าทำได้ สิ่งที่ทำได้อย่าพูดว่าทำได้   ฯลฯ
      3.
ข้อควรเว้นทางใจ
           1.
ไม่สงสัยพระอัลเลาะห์ว่าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งจริงหรือไม่
           2.
ไม่สงสัยความเป็นศาสนทูตของพระมะหะหมัด
           3.
ไม่สงสัยว่าพระคัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่บทบัญญัติของพระอัลเลาะห์
           4.
ไม่สงสัยว่าหลังจากมีพระมะหะหมัดแล้วจะมีศาสนทูตอื่นๆอีก
           5.
ไม่ครุ่นคิดว่าจะเลิกนับถือศาสนาิสลาม
           6.
ไม่สงสัยเรื่องพิธีกรรมต่างๆ   ฯลฯ
      4.
ข้อที่มุสลิมทุกคนไม่ควรปฏิบัติ
           1.
ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อพระอัลเลาะห์ ไม่ยอมเชื่อคุณสมบัติของพระองค์
           2.
ฆ่าตัวตาย รวมทั้งฆ่าผู้อื่น
           3.
ไม่มีความเป็นธรรม ทรมานสัตว์ ทำให้ผู้อื่นเกิดทุกข์ คบหาสมาคมกับคนพาล
           4.
อกตัญญูต่อพ่อแม่ แม้เพียงกิริยาไม่สุภาพ
           5.
มีชู้ ร่วมรักโดยไม่ถูกต้องตามหลักทางศาสนาอิสลาม
           6.
ดื่มสุรา เสพของมึนเมา   ฯลฯ
      5.
ข้อที่มุสลิมทุกคนควรปฏิบัติ
           1.
กตัญญูและรักบิดามารดา
           2.
เคารพอ่อนน้อมต่อผู้มีเกียรติและอาวุโส
           3.
เมตตาสงสารและอุปการะผู้ที่ต่ำกว่า
           4.
รู้จักเอาใจซึ่งกันและกันและเอาใจเขามาใส่ใจเรา
           5.
ประพฤติดีต่อเพื่อนบ้านใกล้เคียง
           6.
รักใคร่กลมเกลียวระหว่างญาติพี่น้อง    ฯลฯ
นิกาย
     ศาสนาอิสลามมีนิกายที่สำคัญ 6 นิกาย คือ
     1.
นิกายซุนนี(Sunni) เป็นนิกายที่ชาวมุสลิมยึดถืออัลกุรอานและจริยาวัฒนของพระมะหะหมัดเป็นหลัก
     2.
นิกายชีอะห์(Sheite) เป็นนิกายที่มีความเชื่อมั่นในเอกภาพของพระเจ้าในศาสนาทั้งหลาย และในอีหม่าม ซึ่งสืบเนื่องจากศาสดาเหล่านั้น
     3.
นิกายซูฟี(Sufi) เป็นนิกายที่เริ่มขึ้นในเปอร์เซีย ปฏิเสธความหรูหราฟุ่มเฟือย เน้นความศรัทธาต่อพระเจ้า ควรจะเป็นผู้เคร่งครัดไม่ไยดีต่อทรัพย์สมบัติและต่อโลก ควรบำเพ็ญตบะและพรตอย่างสงบ
     4.
นิกายวาฮาบี(Wahabi) เป็นนิกายที่ถือว่าอัลกุรอานเป็นใหญ่และสำคัญที่สุด ไม่เชื่อว่ามีผู้อยู่ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์และประณามการขอพร ณ สุสานของศาสดามะหะหมัด
     5.
นิกายอิสมาอีลียะห์(Ismailia) เดิมนิกายนี้มีทัศนะเช่นเดียวกับนิกายชีอะห์ทุกอย่าง แต่ต่อมาได้ขัดแย้งกันเรื่องอิหม่าม
     6.
นิกายคอวาริจ(Khawarij) นิกายนี้แยกตัวออกเพราะไม่พอใจในการสิ้นชีวิตของอุสมาน อิหม่ามองค์ที่ 3
พิธีกรรม
     พิธีกรรมในศาสนาอิสลามที่สำคัญมี 2 พิธี ดังนี้
     1.
พิธีรักษาความสะอาด เป็นพิธีกรรมที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติทุกครั้งก่อนทำพิธีสำคัญๆ เช่น พิธีละหมาด และพิธีฮัจญ์ เป็นต้น พิธีทำความสะอาดคือ พิธีอาบน้ำละหมาด ได้แก่ การทำความสะอาดบางส่วนของร่างกายและต้องปฏิบัติตามลำดับไม่ให้สลับกันทุกครั้ง ดังนี้
          1.
ล้างใบหน้า
          2.
ล้างมือ
          3.
ลูบศีรษะ
          4.
ล้างเท้า
     2.
พิธีขอพรจากพระเจ้า การขอพรจากพระเจ้าเป็นพิธีกรรมที่พระมะหะหมัดปฏิบัติตลอดช่วงที่ทรงปฏิบัติศาสนกิจอยู่ ดังนี้
          1.
ขอให้ผู้ป่วยหายป่วย
          2.
ขอให้ของที่หายได้คืน
          3.
ขอให้ปลอดภัยจากการเดินทาง
          4.
ขอให้คุ้มครองเมื่อกลัวภัย เป็นต้น
สัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม

     ในศาสนาอิสลาม เคารพบูชาเฉพาะพระอัลเลาะห์องค์เดียวเท่านั้น ไม่นิยมการบูชารูปเคารพอื่น ศาสนาอิสลามจึงไม่มีสัญลักษณ์ใดๆให้ศาสนิกเคารพบูชา แต่ที่เห็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวและมีดาวอยู่ข้างบน พบอยู่ในสุเหร่าทั่วไปในประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ไม่ใช่สัญลักษณ์ทางศาสนา เป็นเครื่องหมายของอาณาจักรออตโตมานเติร์ก ซึ่งเป็นอาณาจักรยิ่งใหญ่รุ่งเรืองมากในอดีต มีอำนาจครอบงำยุโรป ตะวันออกกลางทั้งหมด ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมาจนถึงศตวรรษที่ 20      บรรดาประเทศมุสลิมที่เคยอยู่ในอำนาจของอาณาจักรออตโตมานเติร์กจึงยึดถือเอาเครื่องหมายนั้นเป็นสัญลักษณ์ของตนในฐานะเป็นชนชาติมุสลิมเหมือนกันสืบมา แต่อาจถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามได้โดยอนุโลม หรือถ้าจะพูดว่ารูปพระจันทร์และดาวนี้เป็นเครื่องหมายของศาสนาอิสลามก็น่าจะเหมาะกว่า
อิสลาม หมายถึง การยอมมอบตนตามประสงค์ของพระผู้เป็น เจ้าโดยสิ้นเชิง ผู้นับถือศาสนาอิสลามเรียกว่า "มุสลิม" แปลว่า ผู้ยอมมอบตนต่อพระเจ้า พระศาสดาของศาสนาอิสลาม คือ นบีมูฮำมัด (นบี หมายถึงผู้แทนพระอัลลอฮ์ หรือพระเจ้าของศาสนาอิสลาม) มูฮำมัด เป็นชาวอาหรับเผ่ากุรอยฮ์ในเมืองเมกกะ (ปัจจุบัน คือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย)
ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นในดินแดนทะเลทรายอาหรับ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในยุคนั้นชาวอาหรับแตกแยกเป็นหลายกลุ่มขาดความสามัคคียากแก่การปกครอง มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันตลอดเวลา ไม่มีศาสนาเป็นแก่นสาร คนส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าและรูปเคารพต่าง ๆ ประชาชนไม่มีศีลธรรม สตรีจะถูกข่มเหงรังแกมากที่สุด ภายใต้สภาพสังคมที่เสื่อมทรามเช่นนี้ นบีมูฮำมัด จึงคิดหาวิธีที่จะช่วยปรับปรุงแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น
นบีมูฮำมัด เป็นผู้ฝักใฝ่ในทางศาสนา หาความสงบและบำเพ็ญสมาธิ ที่ถ้ำฮิรอบนภูเขานูร์ ในคืนหนึ่งของเดือนรอมฎอน ในคัมภีร์ทางศาสนาอิสลามกล่าวว่า กาเบรียลฑูตของพระเจ้า ได้นำโองการของอัลลอฮ์มาประทาน นบีมูฮำมัด ได้นำคำสอนเหล่านี้มาเผยแพร่จนเกิดเป็นศาสนาอิสลามขึ้น
ในระยะแรกของการเผยแผ่ศาสนา ได้ถูกต่อต้านเป็นอย่างมาก จนถึงกับถูกทำร้าย และได้หลบหนีไปอยู่เมืองมะดีนะฮ์ แต่ก็ยังเผยแผ่จนเป็นที่ยอมรับและมีคนนับถือมากมาย จึงได้กลับมาเมืองเมกกะ และทำการเผยแผ่ศาสนาอิสลามอย่างเต็มที่ การขยายศาสนาอิสลามออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุคหลังเป็นไปโดยการใช้สงครามเข้ายึดเมืองเพื่อเผยแผ่ศาสนา
คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม ได้แก่ คัมภีร์ อัล-กุรอาน ชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นโองการของพระเจ้าหรืออัลลอฮ์ประทานผ่านทาง นบีมู ฮำมัด มีทั้งหมด 6,660 โองการ 114 ซูเราะห์ (บท) และเชื่อกันว่าโองการเหล่านี้ อัลลอฮ์ประทานมาเป็นระยะ ๆ ตามเหตุการณ์ใช้เวลาถึง 23 ปี จึงเป็นคัมภีร์อัล-กุรอานที่ประกอบด้วย หลักศรัทธา 6 ประการ คือ 1)ศรัทธาต่อพระเจ้า(อัลลอฮ์) 2) ศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะ หรือเทวฑูต 3) ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ 4) ศรัทธาต่อบรรดารอซู้ล หรือศาสนฑูต (นบี) 5) ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก 6)ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวะการณ์ (ของพระเจ้า) โดยคำว่า " ศรัทธา " หมายถึง ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส
สำหรับหลักปฏิบัติ มี 5 ประการ คือ 1)การปฏิบัติตน "ไม่มีพระเจ้าองค์ใด นอกจากอัลลอฮ์ และมูฮำมัด คือศาสนฑูตแห่งพระองค์" 2) การนมาซ หรือ ละหมาด มุสลิมต้องละหมาดวันละ 5 ครั้ง (ย่ำรุ่ง กลางวัน เย็น พลบค่ำ กลางคืน ) การละหมาดอาจทำที่ใดก็ได้ แต่ต้องหันหน้าไปทางเมืองเมกกะประเทศซาอุดิอาระเบีย 3) การถือศีลอด 4) การบริจาคซะกาต 5) การประกอบพิธีฮัจญ์
ศาสนาอิสลามเผยแผ่เข้าสู่ประเทศไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน มีชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามมากเป็นอันดับสอง รองจากศาสนาพุทธ มีองค์กรทางศาสนาที่ราชการรับรอง เรียกว่าสำนักจุฬาราชมนตรี โดยมีจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำสูงสุด มีโครงสร้างการบริหารเป็นกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัด และกรรมการกลางอิสลามประจำมัสยิด ในแต่ละมัสยิด(สุเหร่า) มีอิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่น ประเภทละ 1 คนรวม 3 คน เป็นผู้ปกครองดูแลสัปปุรุษ


3 ศาสนาคริสต์
ประวัติความเป็นมา  
                                         คริสต์ศาสนาได้กำเนิดขึ้นจากศาสนาฮีบรู ( ยูดาห์ ) ชาวยิวได้ตั้งถิ่นฐานในประเทศที่ถือว่าเป็นแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาให้แล้ว ก็ไม่มีความผาสุก ถูกรบกวนรุกรานรังแกจากชาติอื่น จึงมีภัยอันตรายเกิดขึ้นเสมอ ไม่มีทางจะแก้ไขให้สุขสงบร่มเย็นได้ พวกเจ้าลัทธิจึงสร้างหลักใหม่ที่เรียกว่า เมสสิอานิก (Messianic) คืออธบายว่า ต่อไปข้างหน้าจะมีบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า เมสสิอาห์(Messiah) ซึ่งพระเจ้าจะส่งลงมารับทุกข์ทรมานแทนมนุษย์ทั้งหลย เมสสิอาห์จะเป็นผู้ช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นทุกข์ภัยทั้งปวง ขอให้มนุษย์ประกอบคุณงามความดีให้พระเจ้าเห็นใจและร้องขออ้อนวอนให้พระเจ้าส่งเมสสิอาห์มาโดยเร็ว ลัทธินี้ทำให้ชาวยิวมีความอดทนต่อความทุกข์เข็ญและมีกำลังใจในการต่อสู้กับอุปสรรคอย่างมีความหวัง
     
เมื่อพระเยซูมาเกิด และทำความดีให้คนเห็นประจักษ์ ชาวยิวจึงปลงใจเชื่อว่าพระเยซูนี้เองเป็นเมสสิอาห์ และเรียกกันว่า เมสสิอาห์ แปลว่า ผู้ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัย เมื่อคริสต์ศาสนาได้เข้ามาสู่ดินแดนกรีกและโรมัน คำว่า "เมสสิอาห" ได้ถูกแปลเป็นภาษากรีกว่า "คริสโตส" (Christos) โรมันเอาคำกรีกมาใช้เป็นภาษาละตินของโรมันว่า คริสตัส (Christus) ภาษาฝรั่งสมัยใหม่จึงเป็นคริสต์(Christ) หรือ ไครสต์ คือ ภาษาอังกฤษอ่าน ไครสต์ แต่ภาษาอื่นอ่านคริสต์ สำหรับภาษาไทยเราใช้คำว่าคริสต์ ตลอดมา และใช้เหมือนกับว่าเป็นนามสกุลของพระเยซู ความจริงพระเยซูไม่เคยใช้นาม คริสต์ ตลอดชีวิตของท่าน เพราะคำว่าคริสต์ เป็นภาษาฝรั่งซึ่งมาใช้กันภายหลังเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
ศาสดา
     พระเยซูเกิดที่เมืงนาซาเรส แคว้นกาลิเล ประเทศปาเลสไตน์ เมื่อ พ.ศ. 543 สิ้นชีวิตเมื่ออายุได้ 33 ปี พ.ศ. 576 เผยแผ่ศาสนาอยู่ 3 ปี คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า มาเรียผู้เป็นพระมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฤไปสู่ขอหมั้นกันไว้ก่อนแล้วก่อนที่จะอยู่กินด้วยกันก็เห็นนางมาเรียมีครรภ์แล้ว ด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่โยเซฟคู้หมั้นของเขาเป็นคนดีสัตย์ซื่อ ไม่พอใจที่แพร่งพรายความเป็นไปของนางนั้น หมายจะให้นางนั้นหลบไปเสีย เป็นการลับ แต่เมื่อโยเซฟยังตริตรองเรื่องนี้ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเจ้ามาปรากฎแก่โยเซฟ ในความฝันว่า โยเซฟบุตรของดาวิดอย่าวิตกในการที่จะรับมาเรียเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู่ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ นางนั้นจประสูติบุตรเป็นชาย แล้วจงเรียกนามท่านว่าเยซู
     
พระเยซูประกาศศาสนาอยู่เป็นเวลา 3 ปี วันสุดท้านในพิธีปัสคา ซึ่งเป็นวันเทศกสลกินขนมปังไม่มีเชื้อ พระเยซูพร้อมด้วยสาวก 12 คน กำลังรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายก็ถูกทหารโรมันจับด้วยข้อหาว่าเป็นกบฏต่อซีซาร์โรมัน ตั้งตนว่าเป็นบุตรพระเจ้า และเป็นพระเมสสิอาห์ แล้วให้ลงโทษประหารชีวิต โดยการตรึงกับไม้กางเขน 3 วัน ภายหลังพระเยซูกลับลุกขึ้นมาได้และลอยขึ้นสวรรค์ไป     
คัมภีร
     คัมภีร์ศาสนาคริสต์เรียกว่า "ไบเบิล" แบ่งออกเป็น 2 ภาค ดังนี้
     1.
คัมภีร์เก่า (Old Testament) เป็นเรื่องราวของศาสนายิว หรือยูดาห์ มีสาระสำคัญว่าด้วยการกำเนิดของโลก พระเจ้าสร้างโลกและบัญญัติ 10 ประการ จนถึงพระเจ้าบันดาลให้น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่เพื่อชำระล้างมนุษย์ที่ทำบาปกันมาก
     2.
คัมภีร์ใหม่ (New Testament) เป็นส่วนที่สาวกของพระเยซูเป็นผู้รวบรวมขึ้นเป็นเรื่องราวเริ่มต้งแต่การอุบัติขึ้นของพระเยซู ไปจนถึงจดหมายเหตุของพระอัครสาวกของพระเยซูบันทึกไว้ รวมทั้งหมดมี 27 คัมภีร์ แบ่งออกเป็น 4 หมวด ต่อไปนี้
          1.
กอสเปต(Gospet) หรือที่เรียกว่า พระวรสาร พรรณนาถึงประวัติชีวิตและการเทศนาสั่งสอนธรรมของพระเยซูโดยตรง
          2.
แอกท์(Act) หรือที่เรียกว่า พระบัญญัติ หมวดนี้กล่าวถึงกิจการต่างๆที่อัครสาวกของพระเยซูได้เผยแผ่ศาสนาภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู โดยเฉพาะเป็นเรื่องกิจการเผยแผ่ศาสนาของเซนต์ปอล
          3.
อีปิสโตลารี(Epistolary) เป็นหมวดว่าด้วยจดหมายเตุบันทึกเหตุการณ์และกิจการของเซนต์ปอล และของสาวกคนอื่นอีก 7 คน มี 14 ตอน รวมทั้งการบันทึกเรื่องความเชื่อถือและการปฏิบัติประเพณีของชาวยิวในสมัยพระเยซูอีก 7 ตอน รวมทั้งหมด 21 ตอน
          4.
อโปกาลิปติก(Apocalyptic) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หมวดเทพนิมิต ว่าด้วยการแสดงตนของเทพหรือกาเบรียล (Gabriel) อันเกิดแกเซนต์จอห์นหรือโยฮัน อัครสาวกของพระเยซู
     
คัมภีร์เหล่านี้บันทึกด้วยภาษากรีก โดยบรรดานักปราชญ์ทางศาสนาได้รวบรวมคำสั่งสอนของพระเยซู เรื่องราวเหตุการ์ืและกิจการต่างๆของสาวกคนสำคัญ รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อื่นๆ ไว้เป็นหลักฐาน ประมาณพุทธศักราช 868
หลักธรรม
     หลักธรรมคำสอนในคริสต์ศาสนาโดยย่อมี 3 หัวข้อ ต่อไปนี้
     1.
หลักตรีเอกานุภาพ(Trinity) คือ ให้ยึดมั่นและเคารพองค์ 3 ได้แก่
          1.
พระยะโฮวา(พระบิดา)
          2.
พระบุตร(พระเยซู)
          3.
พระจิต(วิญญาณศักดิ์ของพระบิดาและพระบุตรรวมกัน)
     
ตรีเอกานุภาพ หมายถึง อานุภาพแห่งพระเจ้าในฐานะทั้ง 3 คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต
     2.
หลักการแห่งความรัก พระเยซูทรงเน้นไว้ในปัจฉิมโอวาทก่อนสิ้นพระชนม์ว่าหลักใหญ่และสำคัญที่สุดในคำสอนของพระองค์ คือ  ความรัก  ทรงกล่าวว่า   ความรักเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่าเงินทองและทรัพย์สมบัติใดๆในโลก และทรงสอนต่อว่า จงรักพระเจ้า รักครอบครัว รักเพื่อนบ้าน และรักเพื่อนมนุษย์ แล้วจะได้รับความรักจากโลกเป็นสิ่งตอบแทน
     3.
อาณาจักรแห่งพระเจ้า (Kingdom of God) คือ สรวงสวรรค์สถานที่ซึ่งผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้าอย่างแท้จริง และปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์เท่านั้น จะมีโอกาสขึ้นไปรวมกับพระองค์ ณ ที่นั้นไม่มีร้อน ไม่มีหนาว ไม่มีกลางวัน กลางคืน ไม่มีกาลเวลา ไม่ต้องกินอาหาร(อิ่มทิพย์) ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย มีแต่ความร่มรื่นและสุขสงบ เรียกว่า ชีวิตนิรันดร
นิกาย
     คริสต์ศาสนาแบ่งออกเป็น 3 นิกายใหญ่ คือ
     1.
นิกายโรมันคาทอลิก ยึดถือความเชื่อดั้งเดิมว่าคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาสากล ปฏิบัติตามคำสอนและประเพณีดั้งเดิมตามแบบอย่างพระเยซูโดยเคร่งครัด มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี
     2.
นิกายออร์โธด็อกซ์ เป็นนิกายที่แยกออกมาจากนิกายโรมันคาทอลิก ด้วยเหตุผลทางการเมือง โดยไม่ยองรับอำนาจสันตปาปา ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 แพร่หลายอยู่ในยุโรปตะวันออกและรัสเซีย รวมทั้งในประเทศกรีกด้วย
     3.
นิกายโปรแตสแตนท์ เป็นนิกายที่แยกออกจากนิกายโรมันคาทอลิก ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นำโดย มาตินลูเธอร์ พระบาทหลวงชาวเยอรมัน โดยการปฏิเสธการผูกขาดการตีความหมาย หรือ วางหลักศาสนาแต่ผู้เดียวของสันตปาปาให้ยึดถือพระคัมภีร์เป็นหลัก ปฏิเสธศีลแก้บาปถือว่าคริสต์ทุกคนเป็นพระเป็นผู้แทนพระเยซูเท่าเทียมกัน และไม่ยกย่องบูชาพระนางมาเรีย โยเซฤและนักบุญทั้งหลาย รวมทั้งรูปเคารพใดๆ นอกจากไม้กางเขน
พิธีกรรม
     พิธีกรรมที่สำคัญของคริสต์ศาสนา เรียกว่า พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ (Sacraments) 7 ประการ คือ
     1.
ศีลล้างบาป หรือศีลจุ่ม (Baptism) กระทำเมื่อเป็นทารก หรือเมื่อเข้าเป็นคริสตศาสนิกชน พิธีกระทำตามแบบของพระเยซูเมื่อก่อนทรงออกเทศนา ในนิกายโรมันคาทอลิกปัจจุบันไม่จุ่มตัวในน้ำ ใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์เทบนศีรษะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการล้างบาป ศีลนี้สำคัญที่สุด ผู้ใดไม่ได้รับศีลล้างบาป จะไม่ได้ชีวิตนิรันดร
     2.
ศีลกำลัง (Comfirmation) กระทำอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพ้นวัยเด็กและเป็นผู้ใหญ่แล้วเพื่อเป็นคริสตศาสนิกชนที่สมบูรณ์
     3.
ศีลมหาสนิท(Holy Communion) สำหรับคริสตศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทุกคนอาจจะกระทำทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรืออย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยรับประทานขนมปังและเหล้าองุ่น เป็นสัญลักษณ์ตามแบบที่พระเยซูได้กระทำแก่อัครสาวก ในอาหารมื้อสุดท้ายก่อนทรงถูกตรง เพื่อเป็นพิธีระลึกถึงการที่ทรงเสียสละพระกายและพระโลหิต เพื่อมนุษย์จะได้รอดพ้นจากบาป ขนมปังคือพระกาย และเหล้าองุ่นคือพระโลหิต ฝ่ายคาทอลิกเชื่อว่าในขณะกระทำพิธีนั้น ขนมปังและองุ่นจะถูกเนรมิตแปรสารกลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูอยางแท้จริง ผู้ที่ได้รับประทานจะมีชีวิตนิรันดร
     4.
ศีลแก้บาป (Penance) สำหรับคาทอลิกที่ได้กระทำบาปแล้วประสงค์จะได้รับการอภัยบาป ต้องไปสารภาพบาปนั้นต่อนักบวชด้วยความสำนึกผิดอย่างแท้จริง ถือว่านักบวชได้รับอำนาจในการยกบาปโดยตรงจากสันตปาปา ซึ่งเป็นผู้แทนของพระเยซูคริสต์ นักบวชจะอำนวยพรยกบาปจะตักเตือนสั่งสอนไม่ให้ทำบาปอีก และจะกำหนดกิจศาสนาให้กระทำเพื่อใช้โทษแต่ผู้ใดสารภาพด้วยความไม่จริงใจหรืออำพรางความบาป ก็ถือว่าเป็นการทำบาปหนักขึ้นไปอีก
     5.
ศีลเจิมคนไข้(Extreme Unction) กระทำเมื่อคนไข้เจ็บหนักใกล้จะตาย เมื่อชำระบาปครั้งสุดท้ายและช่วยให้มีสติกำลังสามารถต่อสู้ความตายได้จนถึงที่สุด เป็นการบรรเทาวิญญาณและร่างกายของผู้ป่วย โดยบาทหลวงใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์เจิมที่ตา หู จมูก ปาก มือ และเท้าของคนไข้ พร้อมกับสวดอวยพร ทุกคนในบ้านจะต้องสวดพร้อมกัน
     6.
ศีลสมรส หรือศีลกล่าว (Matrimony) กระทำแก่คู่บ่าวสาวในพีธีสมรส ผู้ที่รับศีลสมรสโดยถูกต้องแล้ว จะหย่าร้างกันไม่ได้และห้ามสมรสใหม่ในขณะที่สามีภรรยายังคงมีชีวิตอยู่ การจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายโดยไม่ได้รับศีลสมรส ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎของศาสนา
     7.
ศีลอนุกรม (Holy Order หรือ Ordination) เป็นศีลบวชให้บุคคลเป็นบาทหลวง ผู้มีอำนาจโปรดศีลอนุกรม คือ พระสังฆราช ซึ่งถือเป็นผู้แทนของพระเยซูคริสต์ เมื่อรับศีลอนุกรมแล้วไม่อนุญาตให้สมรส กฎข้อนี้เกิดขึ้นสมัยหลังพระเยซู ในราวต้นสมัยกลาง เดิมพวกสาวกในสมัยแรกมีครอบครัวได้ ต่อมาเริ่มมีพวกพระไม่สมรสมากขึ้นพระศาสนจักรจึงออกกฎตายตัวห้ามพระที่รับศีลอนุกรมสมรส
สัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์

     ในคริสต์ศาสนาทุกนิกายใช้เครื่องหมายเหมือนกัน คือ  ไม้กางเขน เดิมไม้กางเขนเป็นเครื่องมือสำหรับประหารชีวิตนักโทษในปาเลสไตน์ สมัยโบราณนักโทษที่ถูกตัดสินประหารชีวิตแล้วจะถูกตรึงเข้ากับไม้กางเขนแล้วยกขึ้นตั้งให้ตากแดดไว้จนกว่าจะตายด้วยความร้อนและความหิวกระหาย พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเช่นนั้น คริสต์ศาสนาจึงถือว่าไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละอันยิ่งใหญ่นิรันดรของพระเจ้า
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม (Monotheism) นับถือพระเจ้าองค์เดียว คือ ยะโฮวา (Jehovah) เป็นผู้ทรงสร้างโลก สร้างมนุษย์และสรรพสิ่งในสากลจักรวาล เป็นผู้ประทานข้อบัญญัติแก่มนุษย์ โดยผ่านทางศาสดาพยากรณ์ (Prophets) และศาสนาฑูตตาง ๆ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย เรื่อยมาตั้งแต่โมเสสถึงพระเยซู 
พระเยซูประสูติเมื่อปีพ.ศ.543 (เริ่มคริสต์ศักราชที่ 1) เป็นช่วงที่อาณา จักรโรมันเจริญถึงขีดสุดภายใต้การนำของพระเจ้าซีซาร์ ตามหลักฐานกล่าวว่า พระเยซู ประสูติที่เมืองเบธเลเฮม แคว้นยูดาย มารดาชื่อ มาเรีย บิดาชื่อ โจเซฟ เป็นคนเชื้อสายยิว อาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเรธ ในสมัยนั้นมีคำทำนายว่า "กษัตริย์แห่งชนชาติยิวได้บังเกิดขึ้นแล้ว" กษัตริย์เฮร็อค ผู้ครองแคว้นยูดายทรงทราบจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตเด็กชายที่เกิดในเมืองเบธเลเฮม ในเวลาใกล้เคียงกันนั้น โจเซฟได้พาภรรยาและบุตรหลบหนี จนกระทั่งกษัตริย์เฮร็อคเสียชีวิตลง พระเยซูก็ เติบโตขึ้นและด้วยความสนใจใฝ่หาความรู้ทางศาสนา เมื่ออายุ 30 ปี ได้พบกับนักบุญจอห์น ผู้เผยแพร่ศาสนายิวและได้รับศีลจุ่ม (แบบติส) จากจอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน นับแต่นั้นมาพระเยซูก็ได้ชื่อว่า พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) 
พระเยซูคริสต์ เริ่มประกาศคำสอนโดยรับเอาความเชื่อศาสนายิวเป็น หลักปฏิบัติและเป็นคำสอนที่สำคัญอันหนึ่งเรียกว่า "เทศนาบนภูเขา" (Sermon on Mount) พระเยซูส่งสาวกออกไปเผยแพร่คำสอนอันถือเป็นพระวจนะของพระเจ้าจนได้รับความนิยมจากชาวยิว และเชื่อว่าพระเยซูเป็นเมสสิอาห์ ของยิว ต่อมานักบวชชาวยิวกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับพระเยซูถือว่ามาปฏิวัติศาสนาและเป็นผู้สร้างคำสอนใหม่ให้ศาสนา จึงพยายามหาทางกำจัดโดยกล่าวหาพระเยซูว่าพยายามซ่องสุมผู้คน เพื่อ กบฎชาวโรมันอันเป็นที่มาของการถูกทหารโรมันจับตรึงไม้กางเขนจนถึงแก่ชีวิต เมื่ออายุ 33 ปี โดยประกาศคำสอนได้เพียง 3 ปี เท่านั้น พวกสาวกที่เลื่อมใสพระเยซูก็ตั้งเป็นศาสนาใหม่ขึ้น เรียกว่า " ศาสนาคริสต์ "
คัมภีร์สำคัญของศาสนาคริสต์ เรียกว่า " คัมภีร์ใบเบิล " (The Holy Bible) ได้แก่ 1)คัมภีร์ใบเบิลเก่า (The Old Testament) กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชนชาติยิวตั้งแต่สมัยอับราฮัมจนถึงสมัยก่อนพระเยซูคริสต์ 2) คัมภีร์ใบเบิลใหม่ (New Testament) กล่าวถึงเรื่องราวตั้งแต่พระเยซูประสูติ จนถึง ค.ศ.100 เป็นเรื่องราวชีวิตของพระเยซูคริสต์ และคำสั่งสอนเรื่องความเชื่อของชาวคริสต์
ศาสนาคริสต์แบ่งออกเป็น 3 นิกาย ได้แก่ 1)นิกายโรมันคาธอลิก (Catholic) 2)นิกายโปรเตสแตนท์(Protestant) 3) นิกายออร์โธด็อก (Orthodox) โดยมีหลักความเชื่อของศาสนาคริสต์ คือ 1) เชื่อว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเรธเป็นศาสดาผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์ 2) เชื่อว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเรธเป็นผู้สละชีวิตเพื่อไถ่บาปให้มนุษยชาติ 3) เชื่อว่าพระเยซูฟื้นคืนชีพจริง 4)เชื่อในพิธีล้างบาป หรือศีลจุ่ม (Baptism) และพิธีศีลมหาสนิท (Communion) โดยถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด 5)เชื่อในวันพิพากษาว่า เมื่อตายจากชีวิตนี้แล้ว จะต้องไปรอรับคำพิพากษาเพื่อการลงโทษและการตอบแทนรางวัล
คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาธอลิกเข้ามาประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงปัจจุบันมีชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ ทั้งนิกายโรมันคาธอลิกและโปรเตสแตนท์ เป็นจำนวนมาก ทางราชการให้การรับรองเป็นองค์การศาสนาที่อยู่ในความอุปถัมภ์ ดังนี้
1) นิกายโรมันคาธอลิก มีศูนย์กลางอยู่ที่ นครวาติกัน กรุงโรม ประเทศอิตาลี มีสันตะปาปา เป็นประมุขสูงสุด ในประเทศไทยมีฐานะองค์การทางศาสนาที่ทางราชการให้การรับรองชื่อว่า สภาประมุขแห่งบาทหลวงโรมันคาธอลิก (Catholic Church Thailand) แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 10 เขต มิซซัง ได้แก่ มิซซังกรุงเทพ มิซซังราชบุรี มิซซังจันทบุรี มิซซังสุราษฎร์ธานี มิซซังเชียงใหม่ มิซซังนครสวรรค์ มิซซังท่าแร่-หนองแสง มิซซังอุบลราชธานี มิซซังอุดรธานี และมิซซังนครราชสีมา 
2) นิกายโปรเตสแตนท์ เข้ามาประเทศไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมีองค์การทางศาสนาที่ทางราชการรับรองดังนี้ 1) สภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย (The Church of Christ in Thailand) 2) สหกิจคริสต์เตียนแห่งประเทศไทย(The Evangelical Fellowship of Thailand) 3) มูลนิธิคริสตจักรคณะแบ๊บติสท์ (Foreign Mission Boars) 4) มูลนิธิคริสตจักรวันเสาร์แห่งประเทศไทย (Seventh-day Adventist Church of Thailand)
ส่วนนิกายออร์โธด็อก ยังไม่มีการเผยแผ่มาสู่ประเทศไทย
4 ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู
ประวัติความเป็นมา
ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอารยัน หรือพวกอริยกะซึ่งเป็นชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเอเชียกลาง ต่อมาชาวอารยันกลุ่มหนึ่งอพยพไปทางยุโรป แล้วกลายเป็นชาวยุโรปปัจจุบัน ส่วนอีกพวกหนึ่งอพยพเข้าไปอยู่ในอิหร่าน และอีกพวกหนึ่งเข้าไปในอินเดีย รบชนะชาวพื้นเมือง(พวกมิลักขะ) ยึดครองอินเดีย พวกอารยันที่เข้ายึดครองอินเดียเป็นชนเผ่าที่มีความรู้ ความฉลาดหลักแหลม ทั้งพวกอริยกะและพวกมิลักขะต่างมีวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนาของตนอยู่ก่อน กล่าวคือ พวกมิลักขะนับถือธรรมชาติ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม โดยเชื่อว่ามีเทพเจ้าประจำอยู่ในธรรมชาติ ส่วนพวกอริยกะก็นับถือธรรมชาติและวิญญาณบรรพบุรุษ ธรรมชาติที่พวกอริยกะนับถือ ได้แก่ เทพเจ้า 4 องค๋ ต่อไปนี้      
1. พระอินทร์ เทพผู้บันดาลให้เกิดสรรพสิ่งในโลก        
2.
พระสาวิตรี เทพผู้ให้ความร้อนและแสงสว่าง
3. พระวรุณ เทพผู้ให้ความเย็นและความชุ่มชื้น
4.
พระยม เทพผู้ทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์
     
เมื่อพวกอริยกะและพวกมิลักขะอยู่ด้วยกันอย่างสันติโดยพวกอริยกะเป็นผู้ปกครองแล้วได้ปรับเทพเจ้าของตนให้เข้ากับเทพเจ้าของชาวเมือง(มิลักขะ) แต่เห็นว่าชาวพื้นเมืองนิยมการบูชาไฟจึงสร้างเทพเจ้าองค์ใหม่ให้ชาวพื้นเมือง ชื่อว่า "เทพเจ้าอัคนี" แต่ให้เทพอัคนีอยู่ในฐานะเป็นเทพบริวารของเทพทั้ง 4 ของพวกตน พวกมิลักขะก็ยอมรับด้วยดี
ศาสดา
     ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ไม่มีศาสดาจริงจังเหมือนศาสนาอื่น แต่มีหัวหน้าลัทธิหรือผู้แต่งตำรา ทำหน้าที่คล้ายศาสดา มีดังนี้
     1.
วยาสะ ท่านผู้นี้เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียงคัมภีร์พระเวท คัมภีร์อิติหาสะ และคัมภีร์ปุราณะ
     2.
วาลฆีกิ  เป็นฤษีผู้แต่งมหากาพย์รามายณะ ท่านเป็นพราหมณ์โดยกำเนิด แต่ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่ยังเล็กพวกชาวนาได้นำไปเลี้ยงไว้
     3.
โคตมะหรือเคาตมะ ผู้ตั้งลัทธินยายะ เกิดประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ.
     4.
กณาทะ ผู้ตั้งลัทธิไวฌศษิกะ เกิดประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อน ค.ศ.
     5.
กปิละ ผู้ตั้งลัทธิสางขยะ เกิดในสมัยศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ.
     6.
ปตัญชลิ ผู้ตั้งลัทธิโยคะ เกิดในสมัยศตวรรษที่ 3 หรือ 4 ก่อน ค.ศ.
     7.
ไชมินิ ผู้ตั้งลัทธิมีมางสา หรือปูรวมีมางสา เกิดระหว่างศตวรรษที่ 6-2 ก่อน ค.ศ.
     8.
มนู หรือ มนุ ผู้แต่งคัมภีร์ธรรมศาสตร์ เกิดในศตวรรษที่ 5 ก่อน ค.ศ.
     9.
พาทรายณะ ผู้ตั้งลัทธิเวทานตะ หรือ อุตรมีมางสา มีผู้กล่าวว่าเป็นคนเดียวกับวยาสะ เกิดระหว่างศตวรรษที่ 6-2 ก่อน ค.ศ.
     10.
จารวากะ ผู้ตั้งลัทธิโลกายนะ หรือวัตถุนิยม ไม่มีประวัติแน่นอน
     11.
ศังกราจารย์ ผู้แต่งอรรถกถา หรือคำอธิบายลัทธิเวทานตะ เกิดระหว่างปี ค.ศ. 788-820 และเป็นผู้ตั้งลัทธิอไทวตะ หรือเอกนิยม คือ นิยมพระเจ้าองค์เดียว
     12.
นาถมุนี เป็นผู้นำคนแรกของลัทธิไวษณวะ อยู่ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 824-924
     13.
รามานุชาจารย์ ถือว่าเป็นคนสำคัญยิ่งของลัทธิไวษณวะ และเจ้าของปรัชญาวิศิษฏาทไวตะ เกิดปี ค.ศ. 1027
     14.
มัธวาจารย์ เป็นผู้นำท่านหนึ่งแห่งลัทธิไวษณวะ และเจ้าของปรัชญาทไวตะ หรือ ทวินิยม อยู่ในช่วงระหว่าง 1199-1277
     15.
ลกุลีศะ (สมัยของท่านนี้ยังไม่แน่นอน) เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งนิกายไศวะ ฝ่ายใต้ผู้ตั้งนิกายปศุปตะ
     16.
วสุคุปตะ เป็นผู้ตั้งลัทธิไศวะฝ่ายเหนือหรือที่เรียกว่า กาษปีรไศวะ (อยู่ระหว่างศตวรรษที่ 9 แห่ง ค.ศ.)
     17.
รามโมหัน รอย เป็นผู้ตั้งพรหมสมาช(สมาคม) อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1774-1833
     18.
สวามีทะยานัน สรัสวดี เป็นผู้ตั้งอารยสมาช อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1824-1833
     19.
รามกฤษณะ เป็นผู้นำทางความรู้และทางปฏิบัติ เป็นผู้จัดให้มีกระบวนการรามกฤษณะมิชชัน แม้ท่านจะไม่ได้ตั้งขึ้นเอง แต่สวามีวิเวกานันทะ สรัสวดี ก็ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องอนุสรณ์ถึงท่าน อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1836-1886
คัมภีร์
     คัมภีร์พระเวท มี 3 คัมภีร์ เรียกว่า "ไตรเวท" คือ
     1.
ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฎในฤคเวทสัมหิตามีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่มละ 11 องค์
     2.
ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยสูตรสำหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็น 2 แขนง คือ
          
ก. ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวทขาว ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์ หรือคำสวดและสูตรที่ต้องสวด
          
ข. กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดำ ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์และคำแนะนำเกี่ยวกับการประกอบยัญพิธีบวงสรวง ตลอดทั้งคำอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย
     3.
สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์อันเป็นบทสวดขับร้อง บทสวดในสามเวทสัมหิตามีจำนวน 1,549 บท ในจำนวนนี้มีเพียง 75 บท ที่มิได้ปรากฏในฤคเวท
     
ส่วนอถรวเวท หรือที่เรียกกันว่า อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่างๆ
หลักธรรม
     หลักธรรมคำสอนสำคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มีอยู่ 3 ข้อ ต่อไปนี้
     1.
อาศรม หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะที่เป็นพราหมณ์วัยต่างๆ โดยกำหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งชาวงของการไว้ชีวิตไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ช่วงชีวิตแต่ละช่วงเรียกว่า อาศรม(วัย) อาศรมทั้ง 4 ช่วง มีดังนี้
          
อาศรมที่ 1 (ปฐมวัย) เรียกว่า พรหมจรยอาศรม เริ่มตั้งแต่อายุ 8-25 ปี ผู้เข้าสู่อาศรมนี้เรียกว่า พรหมจารี
          
อาศรมที่ 2 (มัชฌิมวัย) เรียกว่า "คฤหัสถาศรม" อยู่ในช่วงอายุ 25-50 ปี
          
อาศรมที่ 3 (ปัจฉิมวัย) เรียกว่า "วานปรัสถาศรม" อยู่ในช่วงอายุ 50-75 ปี
          
อาศรมที่ 4 คือ สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ปรารถนาความหลุดพ้น(โมกษะ) จะออกบวชเป็น "สันยาสี" เมื่อบวชแล้วจะสึกไม่ได้
     2.
ปรมาตมัน หมายถึง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลก ได้แก่ "พรหม" ปรมาตมันกับพรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะดังนี้
          2.1
เกิดขึ้นเอง
          2.2
เป็นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิ่งทั้งหลาย และเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา
          2.3
เป็นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทั้งปวง
          2.4
สรรพสิ่งล้วนแยกออกมาจากพรหม
          2.5
เป็นตัวความจริง (สัจธรรม) สิ่งเดียว
          2.6
เป็นผู้ประทานญาณ ความคิด และความสันติ
          2.7
เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล
     
วิญญาณทั้งหมดเป็นส่วนที่แยกออกมาจากปรมาตมัน วิญญาณย่อยเหล่านี้เมื่อแยกออกมาแล้ว ก็เข้าจุติในชีวิตรูปแบบต่างๆ เช่น เทวดา มนุษย์ สัตว์ และพืช มีสภาพดีบ้าง เลวบ้าง ตามแต่พรหมจะลิขิต
     3.
โมกษะ ถือว่าเป็นหลักความดีสูงสุด ดังคำสอนของศาสนาฮินดูสอนว่า "ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็นหลักอาตมันของโลกพรหมแล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากสังสาระการเวียนว่าย ตาย เกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีก"
นิกาย
     1. นิกายไวษณพ เชื่อในการอวตารของพระนารายณ์ว่า พระนารายณ์อวตาร 24 ครั้ง เพื่อช่วยมนุษย์โลกในคราวทุกข์เข็ญนิกายนี้เคารพบูชาพระรามพระกฤษณะรวมทั้งหณุมาน และพระพุทธเจ้าโดยอ้างว่าเป็นอวตารปางที่ 9 ของพระนารายณ์ นิกายนี้ไม่เน้นพิธีกรรมเรียกตนเองว่าศาสนาฮินดูเคารพบูชาเทพเจ้าต่างๆและถือคตินิยมสร้างเทวรูปไว้บูชาแบบพหุนิยม
     2.
นิกายไศวะ เชื่อในพระศิวะและมีความหวังว่าในอนาคตพระศิวะจะอวตารลงมาเป็นบุรุษชื่อลกุลิศะ เพื่อโปรดปรานมนุษย์และสอนมนุษย์ถึงวิธีเข้าถึงพระศิวะ นิกายนี้ประพฤติตนตามแบบลัทธิอัตตกิลมถานุโยค ใช้ขี้เถ้าทาตามร่างกายและทำเครื่องหมายที่หน้าผากด้วยขีด 3 ขีด เรียกสีหาสันทร์
พิธีกรรม
     ข้อปฏิบัติในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู มีทั้งที่เป็นส่วนเฉพาะและส่วนรวมต้องประพฤติปฏิบัติตามกฏประเพณีที่ทำไว้สำหรับวรรณะของตนนั้น แบ่งออกเป็น 4 หมวด คือ
    1. กฎสำหรับวรรณะ ที่เกี่ยวกับการแต่งงาน อาหารการกิน อาชีพ และเคหสถานที่อยู่
     2.
พิธีประจำวัน ชาวฮินดูต้องทำพิธีกรรมประจำบ้านที่ขาดไม่ได้ การทำพิธีต้องอาศัยพราหมณ์ นักบวชเป็นผู้ทำเรียกว่า พิธีสังสการ เป็นพิธีประจำบ้านมี 12 ประการ
     3.
พิธีศราทธ์ ได้แก่ พิธีของผู้มีศรัทธาคือมีใจเชื่อมั่นเป็นการทำบุญอุทิศให้แก่บิดา มารดา หรือบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วในเดือน 10 ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 15 ค่ำ การทำบุญอุทิศนั้น เรียกอีกอย่างว่า ทำบิณฑะ
     4.
บูชาเทวดา การทำพิธีบูชานี้ต่างกันไปตามวรรณะ ถ้าวรรณะสูงพอจะกำหนดลงได้ เช่น สวดมนต์ภาวนา อาบน้ำชำระกายและสังเวยคงคาทุกวัน พิธีสมโภชน์ถือศีลในวันศักดิ์สิทธิ์และไปนมัสการบำเพ็ญกุศลในเทวาลัย ถ้าวรรณะต่ำก็มีพิธีผิดแผกแตกต่างกันออกไป
สัญลักษณ์ของศาสนาพราหมณ์ ฮินดู

     ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ใช้เครื่องหมายอักษรเทวนาครี เขียนว่า "โอม" เป็นสัญลักษณ์ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าทั้ง 3 คือ อักษร อุ หมายถึง พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ อะ หมายถึง พระศิวะ หรือพระอิศวร มะ หมายถึง พระพรหม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ตรีมูรติ
     
เนื่องจากศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม สัญลักษณ์ในศาสนาจึงเป็นการสื่อถึงเทพต่างๆ นอกจากจะมีสัญลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว ยังนิยมสร้างสัญลักษณะและเครื่องหมายไว้บนหน้าผาก หรือส่วนอื่นๆของร่างกาย นิกายไวษณพ ซึ่งนับถือพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ทำเครื่องหมายอักษรโอม ไว้บนหน้าผาก เหนือระหว่างคิ้ว ส่วนนิกายไศวะ ที่นับถือพระศิวะ ทำเครื่องหมายเส้นตรง 3 เส้น ซ้อนกัน ไว้บนหน้าผากเครื่องหมายนี้ทำด้วยกระแจะจันทร์บ้าง ผงหรือขี้เถ้าวิเศษบ้าง สีขาวก็มี สีแดงก็มี เรียกว่า สีหาสันทน์ แปลว่า ที่นั่งของสีหะคือมหาเทพที่ตนนับถือ
        ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นศาสนาเดียวกัน โดยศาสนาฮินดูพัฒนามาจากศาสนาพราหมณ์และเกิดในยุคพระเวท พวกอารยันซึ่งเป็นพวกผิวขาวได้เดินทางมาจากตอนใต้ของรัสเซียเข้ามาขับไล่พวกดราวิเดียนซึ่งเป็นพวกผิวดำ และเป็นชนพื้นเมืองเดิมของพวกอินเดีย พวกดราวิเดียนบางพวกหนีไปอยู่ศรีลังกาและไปเป็นชนพื้นเมืองเดิมของ ศรีลังกา บางพวกได้สืบเชื้อสายผสมผสานเผ่าพันธุ์กับพวกอารยันกลายเป็นคนอินเดียในปัจจุบัน คนอารยันนับถือ พระอาทิตย์ ส่วนพวกชนพื้นเมืองเดิมนับถือไฟ พวกอารยันเห็นว่าความเชื่อของตนเข้ากันได้กับพวกดราวิเดียน จึงได้เผยแพร่ความเชื่อของตนโดยชี้ให้เห็นว่าดวงไฟที่ยิ่งใหญ่ นั้นคือดวงอาทิตย์ จึงควรนับถือพระอาทิตย์ซึ่ง เป็นที่มาของไฟทั้งปวงในโลกมนุษย์ทำให้แนวความคิดของชนพื้นเมืองเดิมกับพวกอารยันผสมผสานเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นศาสนาพราหมณ์
ศาสนาพราหมณ์- ฮินดู ได้เกิดขึ้นและเผยแผ่มาเป็นเวลานานตั้งแต่1,000 ปี ก่อนพุทธกาล ทำให้แนวคิดทางศาสน าแตกต่างกันมาก จึงแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ 3 ยุค คือ 
1) ยุคพระเวท ประมาณ 100 -1,000 ปี ก่อนพุทธกาล ได้เกิดคัมภีร์
พระเวทขึ้นประกอบด้วยคัมภีร์ 4 เล่ม คือ คัมภีร์ฤคเวท ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า คัมภีร์ยชุรเวท ว่าด้วยระเบียบวิธีในการประกอบพิธีบูชายันและบวงสรวงต่าง ๆ คัมภีร์สามเวท ใช้สำหรับสวดในพิธีถวายน้ำโสมแก่พระอินทร์ และขับกล่อมเทพเจ้า และ คัมภีร์อาถรรพเวท ใช้เป็นที่รวบรวมคาถาอาคม หรือเวทมนต์
2)
ยุคพราหมณ์ ประมาณ 100 ปี ก่อนพุทธกาล 
3)
ยุคฮินดู ตั้งแต่ พ.ศ. 700 เป็นต้นมา
ในตอนปลายยุคพระเวทอิทธิพลของพราหมณ์ได้ก้าวถึงจุดสูงสุด ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาพิธีกรรมมีความสลับซับซ้อนกลายเป็นสิ่งที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ทั้งนี้รวมไปถึงการแปลความหมายของคัมภีร์พระเวทและได้เกิดระบบวรรณะขึ้น 4 วรรณะ คือ 
1) วรรณะพราหมณ์ มีหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้า สั่งสอนศาสนาและประกอบพิธีกรรมแก่ประชาชนทุกวรรณะมีหน้าที่ศึกษา จดจำและสืบต่อคัมภีร์พระเวท
2)
วรรณะกษัตริย์ ได้แก่พวกนักรบ ทำหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง และทำศึกสงคราม
3)
วรรณะแพศย์ เป็นวรรณะของคนส่วนใหญ่ในสังคมได้แก่ ผู้ประกอบพาณิชกรรม เกษตรกรรม
4)
วรรณะศูทร เป็นวรรณะของพวกกรรมกรผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังมีพวกนอกวรรณะ ซึ่งเกิดจาก การแต่งงานข้ามวรรณะ เรียกว่า " จัณฑาล " ซึ่งเป็นที่รังเกียจของทุกวรรณะ
ในประเทศไทยศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้เผยแผ่เข้ามาในสุวรรณภูมิก่อนพุทธกาล ดังหลักฐานจากโบราณสถานที่ต่าง ๆ ในยุคขอมเรืองอำนาจ พิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไทยผสมกลมกลืนกับพิธีกรรมทางพระ พุทธศาสนา และเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีที่สำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ตราบถึงปัจจุบัน 
ศาสนาพราหมณ์มีองค์การทางศาสนาดูแลรับผิดชอบและเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักพระราชวัง คือ สำนักพราหมณ์พระราชครู มีสำนักงานอยู่ที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า กรุงเทพมหานคร
สำหรับศาสนาฮินดูนั้น เป็นศาสนาของชาวอินเดียที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีองค์การทางศาสนา 2 หน่วยงาน ได้แก่ 1) สมาคมฮินดูสมาซ 2)สมาคมฮินดูธรรมสภา ทั้งสองหน่วยงานตั้งอยู่ที่บริเวณเสาชิงช้า ด้านตะวันออกของวัดสุทัศน์เทพวราราม และซอยวัดดอน ยานนาวา กรุงเทพมหานคร
5 ศาสนาซิกข์
ประวัติความเป็นมา
                           ศาสนาสิกข์เป็นศาสนาประเภทเทวนิยม คือเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก มีอำนาจยิ่งใหญ่และมีองค์เดียว จึงนับว่าเป็นศาสนาประเภทเอกนิยม (Monotheism) และเป็นศาสนาที่มีอายุน้อยที่สุดในศาสนาของโลกทั้งสิบเอ็ดศาสนา
     
คำว่า "สิกข์" เป็นภาษาปัญจาบ แปลว่า ผู้ศึกษา หรือศิษย์ คือชาวสิกข์ทุกคนเป็นศิษย์ของคุรุหรือครู มีด้วยกันทั้งสิ้น 10 องค์ มีคุรุนานักเป็นองค์แรก คุรุโควินทสิงห์เป็นองค์สุดท้าย ชาวสิกข์ทุกคนต้องทำพิธี "ปาหุล" คือพิธีล้างบาป เมื่อเสร็จพิธีแล้วก็จะรับเอา "กะ" คือสิ่งที่เริ่มต้นด้วยอักษร "ก" 5 ประการ ดังต่อไปนี้
     1.
เกศ การไว้ผมยาวโดยไม่ตัดเลย
     2.
กังฆา หวีขนาดเล็ก
     3.
กฉา กางเกงขาสั้น
     4.
กรา กำไลมือทำด้วยเหล็ก
     5.
กิรปาน ดาบ
     
ผู้ที่ทำพิธีปาหุลแล้วจะได้นามว่า "สิงห์" แปลว่า สิงโต หรือ ราชสีห์ ต่อท้ายเหมือนกันทุกคน ถือว่าผ่านความเป็นสมบัติของพระเจ้าแล้ว ถ้าเป็นหญิงจะมีคำว่า "กอร์" (ผู้กล้า) ต่อท้ายชื่อ
     
การทำพิธีล้างบาปและรับอักษร 5 ก. เพื่อเป็นชาวสิกข์โดยสมบูรณ์นั้น มีขึ้นในภายหลัง คือในสมัยของคุรุโควินทสิงห์  ซึ่งเป็นศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาสิกข์
     
ศาสนาสิกข์ เป็นศาสนาของชาวอินเดีย แคว้นปัญจาบและบริเวณใกล้เคียง ทุกคนที่นับถือสิกข์ ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นพี่น้องกันโดยศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณี ชาวสิกข์นิยมเรียกพระเจ้าว่า "พระนาม" (The Name) โดยมีคำสอนสรรเสริญพระพุทธคุณของพระเจ้าว่าเป็นผู้ฉลาด มีพระกรุณา มีพระหฤทัยเผื่อแผ่
ศาสดา
     ศาสดา หรือ คุรุ แห่งศาสนาสิกข์มี 10 ท่าน ต่อจากนั้นศาสดาองค์ที่ 10 ได้ประกาศให้ถือพระคัมภีร์เป็นศาสดาแทน และไม่มีการแต่งตั้งศาสดาต่อไปอีก (นิกายนามธารีถือว่ายังมีศาสดาต่อไปได้อีกจนบัดนี้ รวม 16 องค์แล้ว)  ศาสดาทั้ง 10 ท่าน ได้แก่
     1. คุรุนานัก
     2.
คุรุอังคัต
     3.
คุรุอมรทาส
     4.
คุรุรามดาส
     5.
คุรุอรชุน
     6.
คุรุหริโควินท์
     7.
คุรุหริไร
     8.
คุรุหริกิษัน
     9.
คุรุเตฆพหทูร์
     10.
คุรุโควินทสิงห์
คัมภีร
     คัมภีร์ของศาสนาสิกข์ เรียกว่า "ครันถสาหิพ" แปลว่า พระคัมภีร์ ส่วนใหญ่บรรจุคำสวดมนต์สรรเสริญพระเจ้า มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว คือ สัจจะ พระผู้สร้าง พระองค์ปราศจากความกลัว ความเคียดแค้น เป็นอมฤตไม่เกิด มีขึ้นด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ทรงโอบอ้อมอารี พระผู้เป็นสัจจะมีอยู่แล้ว
     
คัมภีร์ครันถสาหิพนี้ แบ่งออกเป็น 2 เล่ม ดังนี้
     1.
อาทิครันถ์  แปลว่า คัมภีร์แรก คุรุอรชุน เป็นผู้รวมขึ้นใน ค.ศ. 1604 หรือ พ.ศ. 2147 มีบทนิพนธ์ของคุรุ หรือศาสดาตั้งแต่องค์ที่ 1 ถึงองค์ที่ 5 และมีบทประพันธ์ของนักบุญผู้มีชื่อแห่งศาสนาฮินดู และศาสนาอิสลามผนวกอยู่ด้วย
     2.
ทสมครันถ์  แปลว่า คัมภีร์ของศาสดาองค์ที่ 10 เป็นชุมนุมบทนิพนธ์ของศาสดาองค์ที่ 10 คือ คุรุโควินทสิงห์ รวบรวมขึ้นในสมัยหลังจากอาทิครันถ์ ประมาณ 100 ปี ทั้ง 2 คัมภีร์บันทึกคำสอนของคุรุสำคัญสรุปลงในหลักการใหญ่ 4 ประการ คือ
          1.
เรื่องความสามัคคี
          2.
เรื่องความเสมอภาค
          3.
เรื่องความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
          4.
ความจงรักภักดีต่อคุรุทั้ง 10 องค์
     
สองหลักแรกแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ส่วน 2 หลักหลัง แสดงทางปฏิบัติอันมนุษย์จะพึงปฏิบัติตามเพื่อบรรลุความสุขสูงสุด
หลักธรรม
     คุรุนานัก ปฐมศาสดาของศาสนาสิกข์ได้ประพันธ์บทสวดยัปยี ซึ่งเป็นบทแรกในคัมภีร์ครันถสาหิพ แสดงถึงการที่บุคคลจะก้าวไปสู่สุขอันเป็นนิรันดร หรือนิรวาณ มีอยู่ 5 ขั้น ดังนี้
     1.
ธรรมขัณฑ์ อาณาจักรแห่งการกระทำคือ กรรมดี และกรรมชั่ว การทำแต่กรรมดี
     2.
คิอานขัณฑ์ หรือ ญาณขัณฑ์ อาณาจักรแห่งปัญญา
     3.
สรมขัณฑ์ อาณาจักรแห่งมหาปิติ
     4.
กรรมขัณฑ์ อาณาจักรแห่งกำลัง หมายถึงกำลังทางจิตไม่หวาดกลัว
     5.
สัจขัณฑ์ อาณาจักรแห่งสัจจะ คือความเป็นเอกภาพกับพระเจ้า
     
วิธีปฏิบัติเพื่อสร้างจริตอัธยาศัย เพื่อให้บรรลุสัจธรรมชั้นสูงนั้น คือการสวดเพลงสรรเสริญพระนาม กับการฟังพระธรรม ดังข้อความในพระคัมภีร์ว่า โดยการฟังพระธรรม บุคคลย่อมเป็นประหนึ่ง พระศิวะ หรือ พระพรหม โดยการฟังพระนาม บุคคลย่อมบรรลุสัจจะ ความสันโดษ และทิพยปัญญา
นิกาย
     นิกายของศาสนาสิกข์ที่สำคัญมีอยู่ 2 นิกาย ดังนี้
     1.
นิกายขาลสา หรือนิกายสิงห์ ได้แก่ นิกายที่ถือการไว้ผมและไว้หนวดยาว
     2.
นิกายสหัชธรี หรือนานักปันถี ได้แก่ นิกายที่โกนหนวดเกลี้ยงเกลา
พิธีกรรม
     ในศาสนาสิกข์มีพิธีกรรมสำคัญ 2 ประการ คือ
     1.
พิธีกรรมระลึกถึงพระกรตาปุรุษ โดยการตื่นแต่ก่อนรุ่งสาง อาบน้ำชำระกายแล้วเข้าสมาธิเพื่อทบทวนการปฏิบัติตามเทวโองการของพระองค์ในแต่ละวัน วันละ 3 เวลา เช้า เย็น และกลางคืน
     2.
พิธีกรรมฉลองวันคล้ายวันประสูติ วันสถาปนาศาสนา และวันมรณภาพของศาสดาทั้ง 10 องค์

สัญลักษณ์ของศาสนาซิกข์
     ปัจจุบันศาสนาสิกข์นิยมสัญลักษณ์ คือ รูปดาบไขว้และมีดาบสองคม หรือพระขรรค์อยู่ตรงกลางแล้วมีวงกลมกับพระขันธ์นั้นอีกต่อหนึ่ง วงกลมนั้นมิได้ทำเป็นรูปจักร แต่ทำเป็นเส้นกลมธรรมดา นอกจากนี้แล้วยังมีรูปกาน้ำและดาบซึ่งหมายถึงการรับใช้และพลัง รวมทั้งอักษร    ทั้ง 5 ด้วย

ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่มุ่งสอนให้มนุษย์ทำความดีละความชั่ว สอนให้พิจารณาที่เหตุ และให้ยับยั้งต้นเหต ุด้วยสติปัญญา ตำหนิในสิ่งที่ควรตำหนิ และชมเชยในสิ่งที่ควรชมเชย สอนมนุษย์รักกันฉันท์มิตรพี่น้อง รู้จัก ให้อภัยต่อกัน สอนให้เข้าใจถึงการทำบุญ และการทำทาน ให้ละเว้นบาปทั้งปวง สอนให้เราทั้งหลายทราบว่า ไม่มีสิ่งใดมีอนิสงส์เสมอภาวนา สรรพสิ่งทั้งมวลย่อมแตกดับตามกาลเวลา
ศาสนาซิกข์ เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ประมาณ 5 ศตวรรษกว่าล่วงมาแล้ว มีพระศาสดา นานักเทพ เป็นองค์พระปฐมบรมศาสดา ทรงประสูตร เมื่อ พ.ศ. 2012 ณ หมู่บ้านติวัลดี ปัจจุบัน คือประเทศปากีสถาน และมีพระศาสดาสืบทอดศาสนามาอีก 9 พระองค์ คือ พระศาสดาอังฆัตเทพ พระศาสดาอมรดาส พระศาสดา รามดาส พระศาสดาอรชุนเทพ พระศาสดาหริโควินท พระศาสดาหริราย พระศาสดาหริกริชัน พระศาสดา เตฆบหาฑรู พระศาสดาโควินทสิงห์ รวมทั้งสิ้น 10 พระศาสดา พระศาสดาโควินทสิงห์ ซึ่งเป็นพระศาสดา องค์สุดท้าย ได้บัญญัติให้ชาวซิกข์ยึดถือในธรรมะอย่างเดียว นับว่าเป็นการยุติการสืบทอดศาสนาโดยบุคคล อย่างสิ้นเชิง ในขณะที่พระองค์ยังมีชนม์ชีพอยู่ พระศาสดาได้ลิขิตและรวบรวมไว้เป็นเล่มเรียกว่า " พระมหาคัมภีร์ อาทิครันถ์ " 
นอกจากนี้พระศาสดาโควินทสิงห์ ได้บัญญัติให้ชาวซิกข์ทุกคนยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดดังนี้ 
ต่อจากพระองค์แล้ว จะไม่มีพระศาสดาเป็นบุคคลสืบต่อไปอีกเด็ดขาด ทั้งนี้เพราะพระองค์ได้มอบพระโชติไว้ในพระคัมภีร์ อาทิครันถ์ แล้ว และได้อันเชิญพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เป็นพระศาสดานิรันดร
พระคัมภีร์อาทิครันถ์ ที่เป็นพระศาสดานิรันดรของชาวซิกข์นั้น เป็นที่รวมคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ( กรตาปุรุข ) ที่พระศาสดานำมาเผยแพร่ พระศาสดาโควินทสิงห์ ทรงมีรับสั่งชาวซิกข์ไว้ว่า ด้วยโองการของพระเจ้า กรตาปุรุข จึงได้จัดตั้งอาณาจักรมีบัญชาถึงชาวซิกข์ทุกคนให้ถึงองค์พระคัมภีร์อาทิครันถ์ เป็นพระศาสดานิรันดร ผู้ใดใคร่พบพระองค์ขอให้เปิดพบได้ในพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เท่านั้น ผู้ที่เชื่อในพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เท่ากับว่าได้เชื่อพระองค์โดยตรง ทั้งนี้เพราะคำสอนทั้งหมดที่จารึกไว้นั้น เป็นคำสั่งสอนและคำสัญญาของพระเจ้า กรตาปุรุข ทั้งสิ้น คำสอนนี้เป็นทั้งรูปและนามของพระองค์ ( กรตาปุรุข ) ผู้ใดระลึกถึงธรรมของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทับอยู่ด้วย ผู้ใดนับถือพระคัมภีร์อาทิครันถ์นี้แล้ว เท่ากับว่าได้บูชาในพระเจ้าแล้ว (กรตาปุรุข) และจะหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร พระธรรมเป็นสัญญาลักษณ์อมตะของพระเจ้า กรตาปุรุข
ดังนั้นชาวซิกข์ทุกคน กราบไหว้บูชา เคารพนับถือพระคัมภีร์อาทิครันถ์ เป็นพระศาสดานิรันดร จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 300 ปี และตลอดไปชั่วกาลนาน
พระคัมภีร์ อาทิครันถ์ ที่พระศาสดานำมาเผยแพร่ มีความหมายถึง 1,430 อังสะ (ส่วน หรือตอน) ชาวซิกข์จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจะต้องอัญเชิญพระคัมภีร์ ไปประดิษฐานเป็นองค์พระประธาน สวดมนต์และถวายปรนนิบัติโดยอัญเชิญพระธรรมในคัมภีร์ หนึ่งโศลค (บท) ก่อน แล้วอาราธนาคุณพระผู้เป็นเจ้ากรตาปุรุข จึงจะถือว่าพิธีนั้นเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
ปัจจุบันชาวซิกข์ มีศูนย์สาขา ณ สุวรรณวิหาร นครอมฤตสระ แคว้นปัญจาบ ประเทศอินเดีย และมีศูนย์กลางศาสนาในประเทศไทย ณ สมาคมศรีคุรุสิงห์สถา ซึ่งเป็นศูนย์รวมซิกข์สนิกชน ตั้งอยู่เลขที่ 565 ถนนจักรเพชร กรุงเทพมหานคร โทร. 221-1011 221-2838 และ 221-2942
คำเฉพาะที่ใช้ในด้านศาสนามีจำนวนมาก ซึ่งมีความหมายเฉพาะในแต่ ละเรื่อง และไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจได้หากไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า " ศาสนา " หมายถึง ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์ คำสั่งสอนและข้อบังคับ ที่มนุษย์ยอมรับและนำมายึดถือปฏิบัติเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมทั้งความหมายของคำอื่น ๆ ที่จำเป็นจะต้องรวบรวมเพื่ออธิบายความหมายของคำต่าง ๆ ไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการศึกษาข้อมูลของรายงานฉบับนี้ ซึ่งคำนิยามแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ ศาสนสถาน การศึกษา บุคลากร กิจกรรม และงบประมาณ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ศาสนสถาน
ศาสนสถาน
หมายถึง สถานที่อยู่อาศัยของนักบวช และใช้ประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา
วัด
หมายถึง สถานที่ทางศาสนา ตามปกติแล้วจะมีเสนา
สนะและอาคารถาวรวัตถุต่าง ๆ เป็นที่พำนักอาศัยศึกษา
ปฏิบัติพระธรรมวินัย และประกอบศาสนกิจของพระภิกษุ
สงฆ์ ตลอดจนเป็นที่บำเพ็ญกุศลต่าง ๆ นอกจากนี้วัดยัง
เป็นศูนย์กลางบริการทางการศึกษาและทางสังคม รวม
ทั้งเป็นแหล่งส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและประเพณี วัดทั้ง
หลายมีฐานะทางกฎหมาย คือ เป็นนิติบุคคลเท่าเทียม
กัน แต่ในทางพระวินัยมีฐานะแตกต่างกัน ดังนั้น ตาม
มาตรา 31 แห่ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้
จำแนกวัดออกเป็น 2 ชนิด คือ สำนักสงฆ์ และวัดที่ได้
รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
สำนักสงฆ์
หมายถึง วัดที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งวัด
แล้วแต่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา รวมถึงวัดที่
ได้รับพระบรมราชานุญาต ให้สร้างขึ้นตามความใน
มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ. 121
และวัดที่สร้างขึ้นก่อน ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ซึ่งยังไม่ได้
รับพระราชทานวิสุงคามสีมาด้วย นับว่าเป็นวัดที่สม
บูรณ์ทางกฏหมายแล้ว
วัดที่ได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมา
หมายถึง "อาราม " ตามที่ได้เคยบัญญัติไว้ในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ. 121 เป็นวัด
ที่เลื่อนฐานะมาจากสำนักสงฆ์ โดยได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมา เพื่อประโยชน์ แก่สังฆกรรมตามพระธรรม
วินัยสำหรับพระสงฆ์ นับว่าเป็นวัดที่สมบูรณ์ด้วยฐานะทั้ง
ทางกฏหมายและทางพระธรรมวินัย ทุกประการ
พระอารามหลวง
หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระราชินี สม
เด็จพระยุพราช ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์ เป็นการส่วน
พระองค์ พระราชทานเพื่อเป็นเกียรติยศแก่ผู้ต่ำศักดิ์ลงมา หรือ แก่วัดเอง มีอยู่จำนวนหนึ่งที่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารผู้ใหญ่ ทรงสร้างขึ้น หรือ ทรงโปรดให้ปฏิสังขรณ์และสร้างขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง รวมทั้งวัดที่ประชาชนสร้าง หรือ ปฏิสังขรณ์และทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวงด้วย
วัดราษฎร์
หมายถึง วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และ
สำนักสงฆ์ ซึ่งไม่ได้นับเข้าเป็นพระอารามหลวง ได้แก่
วัดที่ประชาชนทั่วไปสร้าง หรือ ปฏิสังขรณ์ ซึ่งได้รับ
อนุญาตให้สร้างวัดและประกาศตั้งวัด โดยถูกต้องตาม
กฎหมายจากทางราชการ และช่วยกันทำนุบำรุงสืบต่อ
กันมาตามลำดับ
วัดร้าง
หมายถึง วัดที่ไม่มีพระภิกษุสงฆ์พำนักอาศัยประจำ
ซึ่งทางราชการจะขึ้นทะเบียนไว้เป็นวัดร้างโดยกรมการศาสนา หรือ จังหวัดที่กรมการศาสนามอบหมายให้ดูแลรักษา วัดที่ร้างยังคงสภาพเป็นนิติบุคคลโดยสมบูรณ์ และมีโอกาสที่จะเป็นวัดมีพระสงฆ์ ได้อีก โดยดำเนินการตามกฎกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการยกวัดร้างเป็นวัดที่มีพระสงฆ์ พ.ศ. 2514
ที่พักสงฆ์
หมายถึง สถานที่พำนักอาศัยชั่วคราว สำหรับพระ
ภิกษุ สามเณร ซึ่งพุทธศาสนิกชนได้สร้างขึ้นแต่ยังไม่ได้
รับอนุญาตให้สร้างและตั้งวัดจากทางราชการ
ที่วัด
หมายถึง ที่ซึ่งตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น
ที่ธรณีสงฆ์
หมายถึง ที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด
ที่กัลปนา
หมายถึง ที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัด หรือ พระ
พุทธศาสนา
มัสยิด
หมายถึง สถานที่ซึ่งมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจโดยจะ
ต้องมีละหมาดวันศุกร์เป็นปกติ และเป็นที่สอนศาสนาอิสลาม
โบสถ์คริสต์
หมายถึง สถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาคริสต์
โบสถ์พราหมณ์-ฮินดู
หมายถึง สถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาพรามณ์-ฮินดู
โบสถ์ซิกข์
หมายถึง สถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาซิกข์
เขตมิซัง
หมายถึง เขตการปกครอง นิกายโรมันคาธอลิก
การศึกษา
1 การศึกษาด้านศาสนา
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม
หมายถึง โรงเรียนที่วัดจัดตั้งขึ้นในที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ดินของมูลนิธิทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้ การ
ศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร และคฤหัสถ์ ตามหลักสูตร
พระปริยัติธรรมแผนกธรรม แบ่งเป็น 3 ชั้น คือ
นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี
หมายถึง โรงเรียนที่วัดจัดตั้งขึ้นในที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์
หรือที่ดินของมูลนิธิทางพระพุทธศาสนาเพื่อให้การศึกษา
แก่พระภิกษุสามเณร ตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนก
บาลี แบ่งเป็น 8 ชั้น คือ บาลีประโยค1-2 บาลีประโยค 3 บาลีประโยค 4 บาลีประโยค 5 บาลีประโยค 6 บาลีประโยค 7 บาลีประโยค 8 บาลีประโยค 9
การศาสนศึกษา
หมายถึง การศึกษาปริยัติธรรม และการศึกษาอื่น ๆ
อันควรแก่สมณะ
การศึกษาปริยัติธรรม
หมายถึง การศึกษาธรรมและบาลี
สำนักศาสนศึกษา
หมายถึง สำนักเรียนพระปริยัติธรรม
สำนักศึกษาธรรม
หมายถึง สำนักที่สอนปริยัติธรรม ตามหลักสูตร
ประโยคนักธรรมหรือธรรมศึกษา
สำนักบาลี
หมายถึง สำนักที่สอนปริยัติธรรม ตามหลักสูตร
ประโยคบาลี
วิชาการพระพุทธศาสนา
หมายถึง วิชาซึ่งจัดให้แก่พระภิกษุ สามเณร
ศึกษาตามหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกธรรม และ
แผนกบาลีสนามหลวง
2 การศึกษาประเภทสามัญศึกษา
ผู้เรียน
หมายถึง นักเรียน นักศึกษา เด็ก เยาวชน และ
ประชาชนทุกคนรวมถึงบุคคลที่จะเป็นผู้สอนต่อไป ทั้งใน
ระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย
ผู้สอน
หมายถึง ครู/อาจารย์ ในสถานศึกษา หรือสถาบัน
ศาสนา และผู้นำศาสนา ที่ทำหน้าที่สอน ให้ความรู้
และให้แนวปฏิบัติ ทั้งในระบบ นอกระบบ และตาม
อัธยาศัย
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
หมายถึง โรงเรียนที่วัดจัดตั้งขึ้นในที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์
หรือที่ดินของมูลนิธิทางพระพุทธศาสนา เพื่อให้การ
ศึกษาแก่ พระภิกษุสามเณร ตามหลักสูตรของกระทรวง
ศึกษาธิการ
นักเรียน
หมายถึง พระภิกษุหรือสามเณรที่กำลังศึกษาเล่าเรียน
อยู่ในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
ครู-อาจารย์
หมายถึง ผู้ทำหน้าที่สอนประจำอยู่ในโรงเรียนพระ
ปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจะเป็นพระภิกษุ สามเณร หรือคฤหัสถ์ก็ได้ สำหรับคฤหัสถ์ต้องเป็นเพศชายอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์
ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด
หมายถึง สถานที่ ที่วัดจัดตั้งขึ้นในที่วัดโดยใช้อาคาร
ของวัดเป็นสถานที่จัดการศึกษา เพื่อให้การศึกษาอบรม
ปลูกฝังศีลธรรม คุณธรรม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทย และภูมิปัญญาไทย แก่เยาวชนตามสมควรแก่วัย รวมทั้งการเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กก่อนเกณฑ์ ที่จะเข้าสู่วัยเรียน ในระดับประถมศึกษา มีชื่อย่อว่า " ศดว. " ซึ่งความหมายของบุคลากรในศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัดมีดังนี้
เจ้าอาวาส
หมายถึง เจ้าอาวาสวัดที่จัดตั้งศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์
ในวัด
ผู้บริหารศูนย์
หมายถึง เจ้าอาวาสที่ดำเนินงาน ศูนย์อบรมเด็กก่อน
เกณฑ์ในวัด หรือ พระภิกษุ ที่เจ้าอาวาสมอบหน้าที่เป็น
ลายลักษณ์อักษร ให้มีหน้าที่ดูแลศูนย์อบรมเด็กก่อน
เกณฑ์ในวัด
ครูผู้สอน
หมายถึง ผู้ทำหน้าที่อบรมปลูกฝังศีลธรรม คุณธรรม
วัฒนธรรม ประเพณีไทย และถ่ายทอดภูมิปัญญาไทย
ให้แก่เด็กในศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด
ครูพี่เลี้ยง
หมายถึง คฤหัสถ์ผู้ทำหน้าที่สอนให้การอบรม ดูแล
ช่วยเหลือเด็กในศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัด
เด็ก
หมายถึง เด็กที่อยู่ในความดูแล อบรม ของศูนย์อบรม
เด็กก่อนเกณฑ์ในวัด ซึ่งมีอายุระหว่าง 3-5 ปี
ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนา
วันอาทิตย์
หมายถึง หน่วยเผยแพร่ศีลธรรมทางพระพุทธศาสนาที่วัด มูลนิธิ สมาคม สถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งให้การศึกษาอบรมปลูกฝัง ศีลธรรม วัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามแก่เด็กและเยาวชนมีชื่อย่อว่า" ศพอ. " ซึ่งความหมายของบุคคลากรในศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ มีดังนี้
ผู้อำนวยการ
หมายถึง ผู้เป็นประธานบริหาร และทำหน้าที่เป็นผู้
จัดการบริหารงานศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
ครูผู้สอน
หมายถึง ผู้ทำหน้าที่ครู หรืออาจารย์ ที่ทำการสอนใน
ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์
นักเรียน
หมายถึง ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในศูนย์ศึกษาพระพุทธ
ศาสนาวันอาทิตย์
ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ ประจำมัสยิด
หมายถึง สถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นในบริเวณมัสยิด หรือ ที่ดิน
ของมัสยิด เพื่อให้การศึกษาอบรม ปลูกฝังจริยธรรม
ประเพณีอันดีและภูมิปัญญาไทยแก่เยาวชนตามสมควร
แก่วัย และท้องถิ่น รวมทั้งการเตรียมความพร้อมให้แก่
เด็กก่อนเกณฑ์ ที่จะเข้าสู่วัยเรียนในระดับประถมศึกษา
มีชื่อย่อว่า " ศดม." ซึ่งความหมายของบุคลากรในศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ในมัสยิดมีดังนี้
อิหม่าม
หมายถึง อิหม่ามประจำมัสยิดที่จัดทั้งศูนย์อบรมเด็ก
ก่อนเกณฑ์ประจำมัสยิด
ผู้บริหารศูนย์
หมายถึง อิหม่ามที่ดำเนินงานศูนย์อบรมเด็กก่อน
เกณฑ์ประจำมัสยิด หรือกรรมการมัสยิดที่อิหม่ามมอบ
หมายเป็นลายลักษณ์อักษร ให้มีหน้าที่ดูแลศูนย์อบรม
เด็กก่อนเกณฑ์ประจำมัสยิด
ครูผู้สอน
หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่อบรม ปลูกฝังจริยธรรม
วัฒนธรรม ประเพณี และภูมิปัญญาไทย แก่เด็กในศูนย์
อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ประจำมัสยิด
ครูพี่เลี้ยง
หมายถึง ผู้ทำหน้าที่สอน ให้การอบรม ดูแล ช่วยเหลือ
เด็ก ในศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ประจำมัสยิด
เด็ก
หมายถึง เด็กที่อยู่ในการดูแลอบรมของศูนย์อบรมเด็ก
ก่อนเกณฑ์ประจำมัสยิด ซึ่งมีอายุระหว่าง 3-5 ปี
ศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและ
จริยธรรมประจำมัสยิด
หมายถึง สถานที่ซึ่งจัดตั้งขึ้นในบริเวณมัสยิด หรือที่ดิน
ของมัสยิด เพื่อจัดเป็นสถานที่ให้การศึกษาอบรมศาสนา
อิสลาม และจริยธรรม ตลอดจนการจัดกิจกรรมด้าน
ศาสนา และประเพณี อันดีงามของผู้นับถือศาสนาอิส
ลาม มีชื่อย่อว่า " ศอม." ซึ่งความหมายของบุคลากรในศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมัสยิดมีดังนี้
ครูผู้สอน
หมายถึง ผู้ให้การอบรมในศูนย์อบรมศาสนาอิสลาม
และจริยธรรมประจำมัสยิด
นักเรียน
หมายถึง ผู้เข้ารับการอบรมในศูนย์อบรมศาสนาอิส
ลามและจริยธรรมประจำมัสยิด
โรงเรียนสอนวิชาศาสนาอิสลาม
และวิชาสามัญ ศึกษา
หมายถึง โรงเรียนเอกชนตามพระราชบัญญัติโรงเรียน
เอกชน พุทธศักราช 2525 ม.15 (1) ประเภทสามัญ
ศึกษา ประกอบด้วย 4 หลักสูตร 1) หลักสูตรอิสลาม
ศึกษา ระดับ ม.ต้น พ.ศ. 2535 2) หลักสูตรอิสลาม
ศึกษา ระดับ ม.ต้น พ.ศ. 2535 และหลักสูตรอิสลาม
ศึกษา ระดับ ม.ปลาย พ.ศ. 2535 3) หลักสูตรอิสลาม
ศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการควบคู่กับหลักสูตร ม.ต้น
พ.ศ. 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) 4) หลักสูตร
อิสลามศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการควบคู่กับหลักสูตร
ม.ต้น พ.ศ. 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) และ
หลักสูตร ม.ปลาย พ.ศ.2524 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2533
มหาวิทยาลัยสงฆ์
หมายถึง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
วิทยาเขต
หมายถึง เขตการศึกษาของมหาวิทยาลัยที่มี คณะ
สถาบัน สำนัก ศูนย์ วิทยาลัย หรือหน่วยงานที่เรียกชื่อ
อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า คณะ สถาบัน สำนัก ศูนย์
หรือ วิทยาลัยตั้งแต่สองส่วนงานขึ้นไป ตั้งอยู่ในเขตนั้น
ตามที่สภามหาวิทยาลัยกำหนด
บุคลากรทางศาสนา
คณะสงฆ์
หมายถึง บรรดาพระภิกษุที่ได้รับบรรพชาอุปสมบท
จากพระอุปัชฌาย์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามพระราช
บัญญัติคณะสงฆ์
ภิกษุ
หมายถึง ผู้ที่ได้รับบรรพชาอุปสมบทจากพระอุปชฌาย์
ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และรักษาศีล 227 ข้อ
สามเณร
หมายถึง ผู้ดำรงเพศอย่างพระภิกษุ แต่สมาทานศีล 10
คณะสงฆ์อื่น
หมายถึง บรรดาบรรพชิตจีนนิกาย หรือ อนัมนิกาย
พระราชาคณะ
หมายถึง พระภิกษุที่ได้รับแต่งตั้ง และสถาปนาให้มี
สมณศักดิ์ตั้งแต่ชั้นสามัญจนถึงชั้นสมเด็จพระราชาคณะ
พระสมณศักดิ์
หมายถึง พระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานยศ หรือบรรดา
ศักดิ์
พระสัญญาบัตร
หมายถึง พระภิกษุที่ได้รับใบตั้งยศ หรือบรรดาศักดิ์
สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุด
โดยสมณศักดิ์
หมายถึง สมเด็จพระราชาคณะที่ได้รับสถาปนาก่อน
สมเด็จพระราชาคณะรูปอื่น ถ้าได้รับสถาปนาในวันเดียว
โดย กันให้ถือรูปที่ได้รับสถาปนาในลำดับก่อน
พระสังฆาธิการ
หมายถึง พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์
พระธรรมฑูต
หมายถึง พระภิกษุผู้ทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระพุทธ
ศาสนา
พระเปรียญและบัณฑิตอาสาพัฒนา
หมายถึง พระภิกษุที่เรียนจบเปรียญธรรมตั้งแต่ 4
ประโยคขึ้นไป หรือ จบปริญญาตรีทางศาสนา และ
นักธรรมชั้นเอก ทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าคณะจังหวัด ใน
นักธรรมชั้นเอก ทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าคณะจังหวัดใน
การนิเทศงานด้านการศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ
พระปริยัตินิเทศก์
หมายถึง พระภิกษุที่เรียนจบเปรียญธรรมตั้งแต่ 6
ประโยคขึ้นไป ทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าคณะจังหวัด ในการ
นิเทศงานด้านการศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การ
พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ
พระจริยานิเทศก์
หมายถึง พระภิกษุที่สำเร็จการศึกษาไม่น้อยกว่า
เปรียญธรรม 6 ประโยคและนักธรรมชั้นเอก หรือภิกษุที่มี
ความรู้จบปริญญา จากมหาวิทยาลัยสงฆ์เป็นเปรียญ
ธรรม 4 ประโยคและนักธรรมชั้นเอก ทำหน้าที่ช่วยเหลือ
เจ้าคณะจังหวัด ในการนิเทศงานด้านการศึกษา
สงเคราะห์ การเผยแผ่ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ
พระวิปัสสนาจารย์
หมายถึง พระสงฆ์ทำหน้าที่ฝึกสอนปฏิบัติธรรม
กรรมฐาน
พระนักเผยแผ่
หมายถึง พระภิกษุผู้แตกฉานในธรรมะ เข้าใจและ
สามารถเผยแผ่ธรรมได้เป็นอย่างดี
สัปปุรุษประจำมัสยิด
หมายถึง มุสลิมที่คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด
มีมติรับเข้าเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิด และมีชื่ออยู่ใน
ทะเบียนสัปปุรุษประจำมัสยิด แต่ผู้นั้นจะเป็นสัปปุรุษ
เกินกว่าหนึ่งมัสยิดในเวลาเดียวกันไม่ได้
คณะกรรมการกลาง
หมายถึง คณะกรรมการกลาง ศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมัสยิด
อิหม่าม
หมายถึง ผู้นำศาสนาอิสลามประจำมัสยิด
คอเต็บ
หมายถึง ผู้แสดงธรรมประจำมัสยิด
บิหลั่น
หมายถึง ผู้ประกาศเชิญชวนให้มุสลิมปฏิบัติศาสนกิจ
ตามเวลา
อะมีรุ้ลฮัจญ์ หรือ รออิสบิซาตุล
ฮัจญ์อัลรัสมียะห์
หมายถึง บุคคลผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฮัจญ์
ทางการของประเทศไทย นำชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิส
ลามเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ เมืองเมกกะประเทศ
ซาอุดิอาระเบีย
พราหมณ์
หมายถึง คนในวรรณะพราหมณ์ของสังคมฮินดู (ซึ่งมี
4
วรรณะได้แก่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ) ผู้ที่ถือเพศพรมจรรย์เป็นนักบวชไว้ผมยาว นุงขาว ห่มขาว
บาทหลวงศาสนาจารย์
หมายถึง ผู้สอนศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนท์
กิจกรรมทางศาสนา
กิจการฮัจญ์
หมายถึง กิจการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของ
ชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลาม เพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์
ณ เมืองเมกกะประเทศซาอุดิอาระเบีย ไม่ว่าจะเป็นการ
จัดบริการ การอำนวยความสะดวกหรือความปลอดภัย
ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง ระหว่างประกอบพิธี
ฮัจญ์ หรือการเดินทางกลับถึงภูมิลำเนา
การประกอบพิธีฮัจญ์
หมายถึง การเดินทางไปประกอบศาสนกิจ ณ เมือง
เมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยให้ปฏิบัติเฉพาะผู้ที่มี
ความสามารถเท่านั้น คือมีความพร้อมทั้งทางด้านร่าง
กาย จิตใจ สติปัญญา และทรัพย์สิน
การนมาซ หรือ ละหมาด
หมายถึง การนมัสการต่อพระเจ้า เพื่อแสดงความ
ภักดี
การถือศีลอด
หมายถึง การละเว้นการกิน การดื่ม และเพศสัมพันธ์
ตลอดถึงการรักษาอวัยวะทุกส่วนให้พ้นจากการทำความชั่วทั้งในด้านกาย วาจา ใจ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึง
พระอาทิตย์ตก ในเดือนรอมฎอน (เดือนที่ 9 ของฮิจเราะห์ศักราช) เป็นเวลา 1 เดือน
การบริจาคซะกาต
หมายถึง การจ่ายทานบังคับจากผู้มีทรัพย์สินครบรอบ
หนึ่งปีแก่ผู้มีสิทธิรับบริจาค ได้แก่คนยากจน
งบประมาณ
นิตยภัต
หมายถึง เงินงบประมาณที่กรมการศาสนาได้รับเป็น
ประจำเพื่อจ่ายถวายอุปถัมภ์แก่พระภิกษุผู้ได้รับแต่งตั้ง
หรือพระภิกษุผู้ปฏิบัติหน้าที่พิเศษ ตามที่กำหนดไว้ใน
บัญชีอัตรานิตยภัต ซึ่งได้ทำการตกลงกับกระทรวงการ
คลังแล้ว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น