การเสื่อมของพุทธศาสนาในอินเดียเกิดจากการที่ศาสนาอื่นเข้ามาหวังที่จะทำลายพุทธให้สูญสิ้น
อยางไรก็ตามจะตองไมมองขามความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในวงการพระพุทธศาสนาเองดวย โดยเฉพาะการแขงกับฮินดูดวยวิธีที่เขวออกไปจากแนวทางของพระพุทธศาสนา
เชน การตั้งคติพระโพธิสัตว อยางใหมขึ้นมาใหมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย
ที่จะชวยบันดาลผลใหแกมนุษย คลายอยางเทพเจาของฮินดู แทนที่จะ
เปนพระโพธิสัตวอยางเดิมที่เปนสามัญมนุษย
หรือแมแตเปนสัตวเล็กนอยอยางนก กระตาย ชาง กวาง เนื้อทราย
ที่เสียสละบําเพ็ญความดีเปนแบบอยางคติแหงการออนวอนนอนกระหยิ่มรออํานาจลึกลับยิ่งใหญบันดาลให
เขามาแทนที่คติแหงความสามัคคีที่คนพรอมเพรียงรวมกันทําดวยเรี่ยวแรงของมนุษยผูมีน้ำใจเมตตาไมตรี เห็นอกเห็นใจกันความนิยมใหญโตโออานาระทึกใจ เขามาแทนที่ความสงบเรียบงายที่มีความงดงามอยางเปนธรรมชาติงานพิธีที่กระหึ่มมโหฬารใชเงินทองมหาศาล ดึงความสนใจของชาวบานออกจากกิจกรรมของชุมชนในชีวิตที่เปนจริงความตองการทุนทรัพยมหาศาล
และภาระในการรับผิดชอบดู แลสิ่งกอสรางใหญโตพรอมทั้งการพึ่งพาแหลงทรัพย
และอํานาจอยางยืดเยื้อที่ตกทอดไปถึงพระสงฆรุนหลัง เขามาบดบังชีวิตแหงความมักนอยสันโดษพึ่งพาวัตถุนอย ที่คอยดูแลเอาใจใสอวยธรรมทานแกญาติ โยมชาวบานพรอมทั้งอุทิศตนตอการบําเพ็ญไตรสิกขาความวุนวายกับวัตถุและเห็นแกสะดวกสบายพรั่งพรอมแลวติดที่
เขามาแทนความเปนอิสระเสรีที่จะจาริกไปอยางคลองตัวคลองใจในหมูประชาชน เขาถึงชาวบานในถิ่นตางๆและในที่สุดแมแต ไสยศาสตรเวทมนต คาถาก็ เขามาเกลื่อนกลน ระบบการควบคุมทางสังคมดวยศรัทธาและความเปนอาจารยสอนธรรมระหวางชาวบานกับพระสงฆ ก็เลือนลางลงความประพฤติยอหยอนผิดเพี้ยนก็แพรระบาดกวางขวางเมื่อพระสงฆนําพระพุทธศาสนาเขาไปแขงขันในแดนของฮินดูเหินหางออกไปจากหลักการที่
แท ของพระพุทธศาสนา ในขณะที่ทางฝายฮินดูก็มีแผนที่จะกลืนพระพุทธศาสนาอยูดวย พระพุทธศาสนาก็ออนแอลง และสูญเสียเอกลักษณของตน เมื่อกองทัพเตอรกมุสลิมยกเขามาฆาเผาในชวง พ.ศ. ๑๗๐๐ แลว พุทธบริษัทที่ เหลือรอดจากภัยรุกราน
ก็ ถูกกลืนเขาในสังคมฮินดู โดยงายพระพุ
ทธศาสนาในดินแดนพุทธภูมิ แหงชมพูทวีป ที่เจริญรุงเรืองมายาวนานถึง
๑๗๐๐ ป ก็ถึงจุดอวสาน
เมื่อวัดเปนนาบุญก็จะมีชุมชนดีที่สรางขึ้นดวยบุญเมื่อหลักการที่
ถือ ธรรมสูงสุด เลือนลางไป หรือคนเขาใจความหมายของหลักการนี้ผิดเพี้ยน ก็เปนชองใหเกิดความสับสนกับลัทธิ
ถือ เทพสูงสุด หรืออยางนอยก็จะมี ลัทธิหวังพึ่งอํานาจดลบันดาลเกิดขึ้น และเมื่อนั้นแม
แต “บุ ญ” ก็ มีความหมายผิดเพี้ยนคลาด
เคลื่อนไป กลายเปนอํานาจวิเศษอยางหนึ่งที่จะบันดาลผลวิเศษที่ปรารถนาผูจะทําบุญ แทนที่จะมองถึกิจกรรมตางๆ ที่จะทําชีวิตใหดีงามและชวยกันทําใหชุมชนรมเย็นเปนสุขก็มองขามไปเสีย มุงแสวงหาอํ านาจวิเศษที่จะบันดาลโชคลาภแกตน เปนดุจของแลกเปลี่ยน คลาดออกจากวิถีแหงปญญา เขาสูวิถีแหงความลุมหลงและเปดโอกาสแกการที่จะหลอกลวง ความหมายที่แทแตเดิมของบุญหายไปแทบไมมีเหลือตองยอมรับวา เวลานี้ ความรูความเขาใจเกี่ยวกับ “บุญ”ของคนไทย ไดคลาดเคลื่อนคับแคบและคลุมเครืออยางมาก ถึงเวลาแลว ที่จะตองหันมา “ศึกษาบุญ”
ตามที่พระพุทธเจาทรงสอนไวเริ่มตั้งแตชําระสะสางความรูความเขาใจนั้นใหถูกตอง และตั้งตนเอาจริงเอาจังกับการทําบุญขั้นพื้นฐานชนิดที่ “ทําชุมชนใหอยูดี ทําชีวิตใหงอกงาม” ยอนหลั งไปดูสังคมไทยเมื่อคอนศตวรรษที่ ผานมา ยังพอทวนความจํากันไดบาง
ถึงชีวิตชุมชนที่ ปฏิบัติตามคติการทําบุญอยางมฆมาณพ หรืออยางพระเจาอโศกมหาราช เริ่มแตเรื่องเล็กๆนอยๆ อยางการจัดบริการน้ำดื่มแก ผูเดินทาง การใหที่พักอาศัยการสรางศาลาที่พักแรม การชวยกันสรางหรือบูรณะถนนหนทางการสรางศาลาทาน้ำ ตลอดจนประเพณีลงแขกชวยงานเกี่ยวขาวถางปา ปลูกเรือน
เปนตนแม วาการชวยเหลือเกื้อกูลรวมแรงกันเหลานี้ จะเกิดจากสภาพความเปนอยูและสิ่งแวดลอมในยุคสมัยนั้นเปนปจจัยชักนําดวย เนื่องจากสังคมยุคกอนโนนคนมีจํานวนนอย มีผลประโยชนรวมกัน และตองพึ่งพาอาศัยกันมากก็จริง
แตคติการทําบุญตามคําสอนของพระพุทธเจานี้ยอมเปนกําลังหนุนนําสําคัญ ที่ทําใหการปฏิบัติเชนนั้นซึมแทรกเขาไปในวิถี
ชีวิตของประชาชน อยางหนักแนน ลึกซึ้งและกลมกลืนแนนอนวากิจกรรมทําบุญจํานวนมากไปรวมอยู ที่วัด แต ก็เห็นไดชัดถึงเหตุผลที่
ทําให เป นเชนนั้น
นอกจากการถวายทานบํารุงพระสงฆ เนื่องจากเหตุผลดานวิถีชีวิต บทบาทและความสัมพันธ ของทานกับคฤหัสถ พรอมทั้งความเปนนาบุญอยางที่กลาวขางตนแลว เหตุผลสําคัญที่สุดอยูที่วา วัดไดเปนศูนยกลางของชุมชน
จนกระทั่งวา สิ่งที่ทําให แก
วัดและพระสงฆ ก็ คือการบําเพ็ญประโยชนแกชุมชน สังคมมีความเจริญและเสื่อมเรื่อยมาตามธรรมดาอยูแลวโดยเฉพาะสิ่งที่สืบตอกันมาทางรูปแบบ เมื่อเวลาผ านไปนานสาระทางปญญาก็ มักเลือนลางไป ยิ่งเมื่อสังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ ในคราวที่เขาสูยุคสมัยปจจุบัน วิถีชีวิตของผูคนพลิกผันเปลี่ยนโฉมหนาใหมอยางรวดเร็ว คนรุนใหมไม รูจักกิจกรรมบุญกุศลที่เนื่องอยูในวิถีชีวิต และภาวะที่วัดเปนศูนยกลางของชุมชนก็เหลืออยูเพียงพราๆ ลางๆ คติการทําบุญก็เหินหางหรือขาดลอยจากชีวิตที่
เปนอยูจริงของประชาชน ความหมายของ
“บุญ” ก็คลาดเคลื่อน คับแคบและพรามัวลงอยางที่กลาวขางตนจน กระทั่งกลายหรือเขวออกไปถาจะพื้นฟูพระพุทธศาสนาในสังคมไทย จะตองรื้อฟนคติและความหมายที่แทของ “บุญ”
กลับขึ้นมาใหได ซึ่งก็จะเปนการกอบกูประโยชนสุขใหแกสังคมไทยไปพรอมกันดวย เรื่องนี้จะตองถือเปนบททดสอบสําคัญอยางหนึ่งสําหรับพุทธบริษัท และการฟนฟูก็เริ่มที่การทําบุญนี่แหละคนไทยสวนมากยังอยูในชนบท และคนทุกทองถิ่นมีชุมชนของตนๆ
ทุกคนควรถือเปนสําคัญวา ไมวาจะทําบุญอะไรก็ตามที่คิดวาสําคัญ
และกอนจะไปทําบุญใหญโตที่ไหน ขอใหถามกันวาพวกเราสามารถทําบุญขั้นพื้ นฐานไดสําเร็จหรือไม บุญพื้นฐานที่วานี้ คือ กิจกรรมที่จะทําชุมชนใหอยูดี และทําชีวิตใหงอกงาม เครื่องพิสูจนความสามารถในการรื้อฟนระบบการทําบุญของพุทธบริษัทคือ
๑. หันมาทําบุญที่เกื้อกูลตอชีวิตชุมชนขึ้นเปนพื้นฐาน
๒. ทําบุญเหลานั้นใหสําเร็จดวยความรวมแรงรวมใจสามัคคี
๓. ทําวัดที่มีอยูของชุมชนใหเปนนาบุญที่แผขยายคุณภาพชีวิตไปทั่วถึงทุกคน
ถาทํ า ๓ ขอนี้ได
บุญที่แท อันถูกตองตามความหมายจะกลับคืนมาอยางมี ชีวิตชีวา พระพุทธศาสนาจะกลับเฟองฟูในสังคมไทย
และสังคมไทยเองก็จะเขมแข็งมั่นคงบรรลุประโยชนสุขแทจริงแตถาไม ใสใจหันมาทําบุญขั้นพื้นฐานขึ้นแกชุมชนของตนอยางนี้ถึงจะมีอะไรยิ่งใหญโอฬารขึ้นมา ก็จะเปนเพียงเครื่องหลอกตาหลอกใจใหตกอยูในความประมาท วงการพระพุทธศาสนาก็จะสับสนระส่ำระสายมากขึ้นๆ
พุทธบริษัทก็ จะออนแอลงไปๆชุมชนจะเสื่อมสลาย และหายนะภัยก็จะคืบคลานใกลเขามาทุกที
ความสัทธาต่างของชาวไทยในพระพุทธศาสนาเริ่มเปรียนแปลงไปตามกาลเวลา
ไม่มีจุดหมายที่ตรงกับคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
เราต้องหันมามองว่าเรากำลังสัทธาอะไรอยู่ เราสัทธาพระกันอย่างไร สัทธาตรงที่พระพูดเพราะ สัทธาพระอยู่ที่วัดใหญ่วัดดัง สัทธาที่พระอายุมาก สัทธาทีพระมีสมณศักดิ์ หรือเราจะสัทธาพระที่ท่านแสดงธรรมที่ถูกต้อง
ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณากันเองด้วยปํญญาของท่าน
ส่วนพระเองก็ควรปฎิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ให้มากที่สุด อย่าหวังผลตอบแทนในการสั้งสอน นำพุทธสานิกชนให้หลุดพ้นจากวังวนของอวิชาทั้งหลาย
ทุกวันนี้พระเรามามั่วยุ่งกับการก่อสร้างกันจนไม่มีเวลาที่จะสั้งสอนและปฎิบัติธรรมเท่าไรนัก สิ่งก่อสร้างทำให้พระเดือดร้อนกันมากในการหาทุนในการก่อสร้างเพื่อสนองความอยากมีสมณศักดิ์ ไม่คำนึงถึงประโยชน์ของสิ่งก่อสร้างกันเท่าไรนัก
บางแห่งก่อสร้างสิ่งที่ไม่ใช้ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาก็มาก
เมือต้องการก่อสร้างก็จำเป็นที่หาวิธีหาเงินให้ได้มาจึงออกอุบายในการหาเงินทุกวิธีการ นี่คือจุดเสือมของพุทธศาสนาในประเทศไทย แม้แต่ยุ่งกับการเมืองที่มิใช่หน้าที่ของพระ ก็ทำแล้วยังมาลอยหน้าว่าทำเพื่อประชาชน พระมีหน้าที่ปฎิบัติบูชา
คือการบูชาด้วยการกระทำ ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ลงมือกระทำจริง
ปฏิบัติจริงทั้งทางกาย วาจา และที่สำคัญที่สุด คือทางใจ ทางจิตวิญญาณ
โยมมีหน้าที่ในอามิศบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของ อันได้แก่
ดอกไม้ ธูป เทียน ภัตตาหารคาว หวาน สิ่งที่เป็นวัตถุทั้งปวง เป็นการเสียสละ ฝึกตนให้รู้จักการแบ่งปันการบริจาคและการให้ทาน
พระบางองค์ท่านเก่งมากท่านศึกษมาเยอะถึงขนาดมีความคิดที่จะลดพระวินัยลงนี้คือจุดเลือมทรามในพุทธศนาที่แท้จริง
ทางกรมศาสนาควรเอาจริงจังกับพระพวกนี้อย่าสนใจกับปริมาณของพระที่จะน้อยลงให้สนใจกับคุณภาพของพระให้มากๆๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น