welcome to atisayo blogger ยินดีต้อนรับสุ่ blogger ของอติสโย บทเรียนเพื่อการศึกษาพระพุทธศาสนา และสรางสรรคสังคมไทย

อติสโยอ่านเจอ



ลิงยอดกตัญญู
บริเวณป่าใหญ่แห่งหนึ่งในเขตเทือกเขาหิมพานต์ มีฝูงลิงอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งมีลิง ๒ พี่น้องเป็นผู้ควบคุมดูแล ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นลิงตัวพี่ชื่อ มหานันทิยะส่วนพระสารีบุตรเกิดเป็นลิงตัวน้องชื่อ จูฬนันทิยะ
ลิง ๒ พี่น้องมีลิงบริวารอยู่ ๘๐,๐๐๐ ตัว แม่ลิงของลิงทั้งสองนั้นตาบอด จึงเป็นหน้าที่ของลิง ๒ พี่น้องต้องช่วยกันดูแลเลี้ยงดู
คราวหนึ่ง ลิง ๒ พี่น้องต้องพาบริวารไปหากินไกลจากที่อยู่ แต่ได้มอบหมายให้ลิงตัวหนึ่งนำผลไม้มาให้แม่ลิงกิน ผลปรากฏว่าลิงที่ได้รับมอบหมายให้นำผลไม้มานั้นกลับคิดไม่ซื่อ เก็บไว้กินเสียเอง ลิง ๒ พี่น้องกลับมาเห็นแม่ลิงซูบผอมจึงถามความจริง
แม่ ทำไมผอมลงเล่า แม่ไม่ได้กินผลไม้ที่ลูกส่งมาให้ หรือว่าแม่ไม่ชอบ ผลไม้เหล่านั้นล้วนมีรสชาติอร่อยทั้งสิ้น
ผลไม้ที่ไหนลูก แม่ไม่เคยได้เลยแม่ลิงตอบ
ลิงมหานันทิยะได้ฟังแม่พูดเช่นนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าลิงที่มอบหมายให้นำผลไม้มาให้คิดไม่ซื่อ จึงเกิดสะเทือนใจแล้วคิดว่า
เรามัวแต่ดูบริวารให้ได้รับความสุข ต่อนี้ไปเราจักออกจากการเป็นหัวหน้าฝูงลิง มาเลี้ยงดูแม่ดีกว่า
ครั้นคิดได้ดังนี้ ลิงมหานันทิยะก็เรียกน้องชายคือลิงจูฬนันทิยะมาปรึกษา แล้วมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลบริวารแทน
น้องรัก น้องช่วยดูแลบริวารแทนพี่ด้วย พี่จักลาออกมาทำหน้าที่เลี้ยงดูแม่ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีเวลาดูแลแม่แน่
ไม่ละพี่ ฉันไม่ต้องการดูแลบริวารหรอก ฉันก็อยากดูแลแม่เหมือนกันลิงจูฬนันทิยะปฏิเสธพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผล
เป็นอันว่า ลิง ๒ พี่น้องยอมสละตำแหน่งหัวหน้าฝูงมาเลี้ยงดูแม่ลิงซึ่งบัดนี้แก่เฒ่าแล้ว ทั้งสองพาแม่ลิงลงจากป่าหิมพานต์มาอยู่ที่ต้นไทรต้นหนึ่งใกล้ชายแดน สามแม่ลูกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขโดยลิง ๒ พี่น้องต่างผัดเปลี่ยนกันออกไปหาผลไม้มาให้แม่ลิง
เหนื่อยไหมลูกแม่ลิงมักถามลูกๆ อย่างนี้เสมอ
ไม่เหนื่อยหรอกจ้าแม่ลูกๆ จะพากันตอบแบบนี้ทุกครั้ง ซึ่งแม่ลิงได้ฟังแล้วก็รู้สึกสบายใจ ส่วนลิง ๒ พี่น้องก็อบอุ่นใจ
ทางด้านเมืองพาราณสี มีพราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งศึกษาศิลปวิทยาจบมาจากสำนักของพราหมณ์ทิศาปาโมกข์ แหละพราหมณ์หนุ่มคนนี้มีนิสัยหยาบคายร้ายกาจและใจร้อน อาจารย์ทิศาปาโมกข์มองดูศิษย์ซึ่งเข้ามาอำลากลับบ้านเกิดด้วยความเป็นห่วง
ลูกรัก ลูกเป็นคนใจร้อน จำคำพูดของพ่อไว้ให้ดีนะว่า ความใจร้อน ความหยาบคายร้ายกาจจะทำให้ลูกเดือดร้อน จงพยายามปรับปรุงนิสัยใจคอให้เป็นคนสุภาพ อะไรก็ตามที่ทำไปแล้วจะทำให้เดือดร้อนก็อย่าไปทำอาจารย์ทิศปาโมกข์เตือนศิษย์
ผมจะพยายามทำอย่างที่อาจารย์แนะนำศิษย์รับคำแล้วกราบลาอาจารย์
ครั้นกลับมาเมืองพาราณสีแล้ว พราหมณ์หนุ่มนั้นก็ครุ่นคิดหาวิธีเลี้ยงชีวิตตนเองและครอบครัว เขามองไม่เห็นทางอื่นที่จะใช้ความรู้นอกจากการล่าสัตว์ เมื่อเห็นทางอย่างนี้เขาจึงตัดสินใจยึดอาชีพเป็นพรานเนื้อออกล่าสัตว์แล้ว แล่เนื้อออกขาย เขาภูมิใจและมีความสุขที่เห็นสัตว์ป่าถูกยิงตายต่อหน้า
ฮ่า…..ฮ่า…..จะหนีไปไหนพ้นวะเจ้าสัตว์น้อยเขาหัวเราะคำรามลั่นอย่างนี้ทุกครั้งที่ปล่อยลูกธนูออกไป
เขาเป็นคนทำบาปขึ้น ทุกวันที่ออกไปล่าสัตว์จะต้องได้สัตว์ติดมือกลับมาทุกครั้ง ครั้นเมื่อได้มาแล้วก็มอบให้เมียแล่เนื้อออกเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนหนึ่งเก็บไว้กิน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งนำออกขาย
แต่วันหนึ่งนับเป็นวันที่โชคร้ายเพราะไม่สามารถยิงสัตว์ป่าได้เลย เขารู้สึกหัวเสียและเดินง้างธนูออกล่าเหยื่อด้วยความเจ็บแค้น
ให้เจอเถอะน่า กูจะยิงไม่เลี้ยงเลยเขาคำรามอยู่ในใจ
พราหมณ์หนุ่มผู้หยาบช้าเดินล่าเหยื่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงต้นไทรใหญ่ที่ลิง ๓ แม่ลูกอาศัยอยู่ เขาเดินตรงรี่ไปที่ต้นไทรนั้นพร้อมทั้งมีความหวัง
คงมีอะไรให้กูได้ยิงมั่งละวะ
ขณะนั้นเอง ที่ต้นไทรนั้น ลิง ๒ ตัว พี่น้องกลังปรนนิบัติแม่ลิงให้กินผลไม้อยู่ ลิงมหานันทิยะเห็นพราหมณ์หนุ่มถือธนูเดินเข้ามาก็คิดว่า
พราหมณ์คนนี้เห็นแม่ลิงแก่ๆ คงไม่ทำอะไร
จากนั้นตัวเองกับน้องจึงหลบอยู่ที่คาคบ
ฝ่ายพราหมณ์หนุ่มหยาบช้ามาถึงต้นไทรสอดส่ายตามองไปจนทั่ว ก็เห็นแม่ลิงกำลังนั่งกินผลไม้อยู่บนกิ่งต้นไทร
พอดีเลยเขาคิด
วันนี้เกือบทั้งวัน ยังไม่ได้เนื้อสักตัว เอาละวะลิงแก่ก็ลิงแก่เถอะ เนื้อมันก็กินได้เหมือนกัน
คิดแล้ว เขาก็ง้างธนูเต็มที่หมายจะยิง ลิงมหานันทิยะคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา เห็นพราหมณ์หนุ่มแสดงท่าทางเช่นนั้นแน่ใจว่าเหตุร้ายต้องเกิดขึ้นกับแม่ของ ตนแน่ จึงรีบบอกลิงจูฬนันทิยะให้รู้ตัวและตนเองก็กระโดดออกมาขวางหน้าแม่ลิงไว้ พลางร้องบอกพราหมณ์หนุ่มว่า
ท่านนายพราน อย่ายิงแม่ของข้าพเจ้าเลย ท่านแก่มากแล้ว มิหนำซ้ำยังพิการอีกด้วย มายิงข้าพเจ้าดีกว่า ข้าพเจ้ายินดีสละชีวิตให้แม่
จากนั้นก็หันไปบอกลิงจูฬนันทิยะว่า
น้องรัก พี่ฝากแม่ด้วย
พราหมณ์หนุ่มหยาบช้าไม่ได้เกิดความสงสารแม้แต่นิดเดียว เขาปล่อยลูกธนูใส่ลิงมหานันทิยะเต็มแรง ลิงมหานันทิยะถูกยิงกระเด็นตกจากต้นไทรและสิ้นใจตายทันที จากนั้นพราหมณ์หนุ่มก็สอดลูกธนูเตรียมจะยิงแม่อีก
อย่า…..อย่า…..ท่านนายพรานลิงจูฬนันทิยะขอร้องพลางกระโดดขวางหน้าแม่ลิง
อย่ายิงแม่ของข้าพเจ้าโปรดไว้ชีวิตท่านเถิด ข้าพเจ้ายินดีตายแทนแม่
พอขาดคำของจูฬนันทิยะ พราหมณ์หนุ่มก็ยิงลูกธนูใส่เต็มแรงอีกเช่นกัน ผลก็คือ ลิงจูฬนันทิยะกระเด็นตกจากต้นไม้สิ้นใจตายคาที่ทันที จากนั้นเขาก็ยิงแม่ลิงอีกด้วย ผลปรากฏว่า วันนั้นเขาได้ยิงลิง ๓ ตัวแม่ลูกกลับบ้านด้วยความดีใจ
ขณะที่เขาหาบลิง ๓ แม่ลูกมุ่งหน้ากลับบ้านนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นที่บ้านของเขา กล่าวคือ เกิดฟ้าผ่าบ้านแล้วมีไฟลุกไหม้ครอกเมียและลูก ๒ คนตายหมด เหลือแต่ซากบ้านกับกองกระดูกของลูกเมีย
ขณะนั้นเขาหาบลิงมาถึงทางเข้าหมู่บ้านพอดี ชาวบ้านเห็นเขาต่างรีบเข้ามาแจ้งข่าวร้ายทันที
ทันทีที่ได้ฟังข่าวร้ายนั้น เขาถึงกับร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ไม่สามารถจะคุ้มสติไว้ได้ ทิ้งหาบวิ่งโร่ไปบ้านของตัวเอง แล้วทันใดนั้นเองโครงการบ้านที่เหลืออยู่ก็หล่นตีศีรษะเขาแตกเลือดอาบ เขาวิ่งออกจากบ้าน
ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น แผ่นดินตรงที่เขายืนได้แยกออก แล้วดูดร่างเขาลับหายไปในพริบตา
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การทำร้ายผู้ที่ไม่ได้คิดร้ายกับตนเองด้วยจิตใจที่โหดเหี้ยม ย่อมได้รับผลทันตาเห็นเหมือนพราหมณ์หนุ่มฆ่าลิง ๓ แม่ลูกผู้มีจิตใจสะอาดแล้วได้รับผลกรรมทันตาเห็นฉะนั้น


…..คนเราทำกรรมเหล่าใดไว้

เขาย่อมเห็นกรรมเหล่านั้นในตน
ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว
คนเราหว่านพืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

· 
  

ทำไมทุกฝ่ายในสังคมดูจะแย่ลง ๆ เราต้องสาวไปถึงเหตุว่าเพราะขาโรงเรียนไปเตะขาวัฒนธรรมแล้วโยกไปเย้มา บนกระแสคลื่นอันเลวร้าย เชี่ยวกราก ที่พัดกระหน่ำมาเรื่อย สังคมไทยก็ยืนด้วยตัวเองไม่ได้ อย่าพูดถึงว่าจะก้าวไปข้างหน้าเลย เอาแค่พอประคองตัว ก็ลำบากมากแล้ว เราจะเห็นภาพสะท้อนสังคมไทยได้มาก ๆ ที่เราต่างก็ยอมรับว่า เราติดโรค บริโภคนิยมในระดับที่เข้มข้นรุนแรงมาก ทำไม ? ทำไมสังคมเราเป็นอย่างที่ในหลวงทรงมีพระดำรัสเปรียบเปรยไว้ว่าเป็น โมหะภูมิทำไมเราจึงเป็นเหมือนดั่งคนที่ ไร้ภูมิคุ้มกันเราเป็นประเทศพุทธศาสนา มีชาวพุทธอยู่มากกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ทำไมสังคมอันทันสมัยล้ำยุคอย่างปัจจุบันนี้ มันเลวร้ายมาก เสื่อมทรามมาก อาชญากรรมเยอะ อบายมุขเยอะ สิ่งมอมเมาเยอะ โกงกินคอรัปชั่นมาก โสเภณีมาก ฆ่ากันมาก ขโมยกันมาก เดี๋ยวนี้เริ่มเป็นกันตั้งแต่เด็ก ๆ เราก็หาทางแก้แบบตาบอดคลำช้าง เป็นพัก ๆ ไป แก้ด้วยทางการเมืองบ้าง ทางเศรษฐกิจบ้าง ด้วยการปฏิรูปการศึกษาที่เป็นกระแสมาจากตะวันตกบ้าง ทางสารพัดนโยบายกิจกรรรมที่สวยหรู แต่สุดท้ายเราก็จะต้องถามหาความยั่งยืน มันไม่เคยแก้อะไรได้จริงจัง แค่พอประทังไว้ ประคองไว้เท่านั้นเอง มันแค่เส้นผมบังภูเขาเท่านั้นเอง 

เพราะวัฏจักรแห่งความเจริญที่เราก้าวเดินไปด้วยสองขา ทั้งขาแห่งการเรียนในระบบโรงเรียนและขาวัฒนธรรมเราโดนเตะเดี้ยงไปเสียแล้ว เมื่อก่อนมีวัฏจักรแห่งความเจริญที่หมุนสืบต่อไปในสังคมทุก ๗-๘ วัน มีกระบวนการเรียนรู้ที่งดงามสมบูรณ์อยู่ทุก ๆ วันพระ แต่พอเราเปลี่ยนวันหยุดจากวันโกนวันพระ เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ เกิดอะไรขึ้น นอกจากไม่ได้กระบวนการเรียนรู้ที่ดีงามอย่างที่กล่าวมาตั้งแต่ต้นแล้ว กลับหมุนกลับเป็น วัฏจักรแห่งความเสื่อมพอหยุดวันเสาร์อาทิตย์ ก็เป็นวันแห่งการเสพ เสพบริโภคกันอย่างหนัก เป็นวันแห่งความมัวเมาลุ่มหลง เป็นวันที่เราขอหมกมุ่นอยู่ในกระแสหายนธรรมที่ดาษดื่นในสังคมบริโภคนิยมด้วยความเต็มใจ และโฆษณาสะกดจิตเรากันเองให้เป็นค่านิยมขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ 

วิถีชีวิตอย่างนี้จึงเป็นความสืบต่อแห่งวังวนของหายนธรรม ที่เราเต็มใจเชื้อเชิญให้เข้ามาแย่งชิงโอกาสที่วัฒนธรรมอันดีงามเคยโอบล้อมคนในสังคมอยู่ เราเอาแม่เลี้ยงใจร้ายมาทำลายอ้อมกอดแห่งมารดาคือธรรมะ ที่ครั้งหนึ่งเคยโอบล้อมคนในสังคมอยู่อย่างอบอุ่น เราปล่อยให้หายนธรรมอันเลวร้ายเข้ามาครอบงำคนในสังคม ครูและเด็กในโรงเรียน หมอในโรงพยาบาล พระในวัด หรือแม้แต่เด็กในอ้อมอกของแม่ ยังถูกหายนธรรมเข้ามาครอบงำได้ แม่ตัวจริงที่อุ้มอยู่ได้ตายจากสังคมไทยไปนานกว่า ๓๐๔๐ ปีแล้ว เป็นภัยที่มองไม่เห็น และยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้เห็นได้ 
จากกระบวนการเรียนรู้ทางสังคมอันเป็นมรดกอันล้ำค่ายิ่ง ที่เราเคยมีมาตลอด ๒,๕๐๐ กว่าปี ที่พระพุทธเจ้าทรงเมตตาประทานไว้ให้กับมนุษยชาติ และบรรพบุรุษของเราได้ปลูกฝังและสืบต่อกันมา ไม่ขาด.. แต่แล้ว ไอ้ความโง่เขลา ดูเบา และหลงตัวเองว่าฉลาดของลูกหลานเช่นเรา ๆ เพิ่งมาทำลาย ในช่วง ๓๐๔๐ ปีให้หลังมานี้เอง เราเห็นอะไรบ้างหรือยัง ? เราเห็นจุดแยกแล้วหรือยัง ? เราเห็นเหตุปัจจัยของวัฏจักรแห่งความเสื่อมในระดับสังคมแล้วหรือยัง
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น